วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

กินอย่างไรให้ไตอยู่ดี

     ปัจจุบันการกินอาหารส่งผลต่อ สุขภาพร่างกายของมนุษย์โดยตรง เรียกว่า กินอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น หากเราเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว กิจวัตรประจำวัน รวมทั้งเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากจะมีสุขภาพที่ดีแล้วยังเป็นแนวทางป้องกันโรคที่ดีด้วย แม้กับผู้ป่วย เป็นโรคต่างๆ ก็ยังต้องเลือกกินให้ถูกกับโรคที่เป็น เพื่อป้องกัน โรคแทรกซ้อนและรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีเอาไว้ ซึ่งหนึ่งในโรคที่มีส่วนสัมพันธ์โดยตรงกับพฤติกรรมการบริโภคอาหารและพบบ่อย ในคนไทยคือ โรคไตวายเรื้อรัง
ผศ.ดร.ชนิดา ปโชติการนายกสมาคมนักกำหนดอาหารแห่งประเทศไทย กล่าว ว่า ผู้ที่เป็นโรคไตส่วนหนึ่งมาจากอาหารที่รับประทาน เช่น อาหารที่มีรสเค็มจัดและอาหารที่ไม่สะอาด ซึ่งการรับประทานอาหารให้ห่างไกลโรคไตนั้น ควรเริ่มจากตัวเราก่อน
โดยการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร จากที่เคยรับประทานอาหารในปริมาณที่เกินความต้องการของร่างกายก็ควรลดปริมาณ อาหารให้น้อยลง หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันจากสัตว์และคอเลสเตอรอลสูง รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสจัดเกินไป เช่น หวานจัด เค็มจัด และอาหารที่มีกะทิ เพื่อป้องกันโรคอ้วน ซึ่งจะเป็นสาเหตุสู่โรคอื่นๆ ตามมา เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุหลักของการเป็นโรคไตเรื้อรังที่ตามมานอกจากนี้ ควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไตได้
สำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังแล้วก็ควรระมัดระวังไม่ให้โรครุนแรงไป มากกว่าเดิม นอกจากการทานยาตามที่แพทย์สั่งและการล้างไตทางช่องท้องหรือการฟอกเลือดอย่าง สม่ำเสมอแล้ว อาหารก็มีส่วนช่วยบำบัดอาการของโรคไตได้ หากเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม จะช่วยป้องกันภาวะทุพโภชนาการและเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ได้
ผศ.ดร.ชนิดา อธิบายว่า ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่ล้างไตด้วยการฟอกเลือดหรือการล้างไตผ่านทางช่องท้อง อาจเกิดภาวะขาดสารอาหารได้ เนื่องจากอาการเบื่ออาหารรวมทั้งมีการสูญเสียสารอาหารระหว่างฟอกเลือดและการ ล้างไตทางช่องท้อง อาทิ โปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมร่างกาย และสร้างภูมิคุ้มกัน
ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละคนควรมีความรู้ความเข้าใจในการเลือกกินอาหาร เพื่อให้ได้รับสารอาหารโปรตีนและพลังงานที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
โดยผู้ป่วยโรคไตจะต้องรับการประเมินภาวะโภชนาการ ซึ่งได้แก่ น้ำหนักตัวผลทางชีวเคมีของเลือด เช่น อัลบูมินหรือวัดโปรตีนในเลือด การประเมินอาการทางคลินิกและการประเมินการบริโภค และนำข้อมูลเหล่านี้ไปปรึกษานักกำหนดอาหารหรือนักโภชนาการ เพื่อจะได้กำหนดปริมาณและรับประทานอาหารให้ถูกต้องเหมาะสมกับภาวะที่ร่างกาย ต้องการของแต่ละบุคคล
ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ทั้งเนื้อสัตว์ ข้าว แป้ง ไขมันที่ดี รวมทั้งผักและผลไม้แต่ต้องกินในปริมาณที่แนะนำ เช่น ผลไม้อาจกินเงาะได้ไม่เกินวันละ 8 ผล แต่ควรงดเมื่อผลทางชีวเคมีของโพแทสเซียมในเลือดเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด

ในขณะเดียวกันสารอาหารโปรตีนที่พบมากในเนื้อสัตว์ต้องรับประทานให้เพียง พอ โดยเน้นบริโภคปลา เพราะเป็นแหล่งอาหารโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย มีไขมันต่ำ ในผู้ที่ล้างไตทางช่องท้องควรกินให้ได้ 4-6 ช้อนโต๊ะต่อมื้อหรือเท่ากับ 3 กล่องไม้ขีดไฟกล่องเล็กหรือ ไพ่ 1 สำรับและกินไข่ขาววันละ 2 ฟอง
การจัดอาหารให้น่ารับประทาน และดัดแปลงเมนูให้หลากหลาย จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากรับประทานอาหารมากยิ่งขึ้น เช่น ใช้ "ไข่ขาว" ดัดแปลงเป็นอาหารอื่นไม่ว่าจะเป็น ซูชิ ห้อยจ๊อหรือไส้กรอกอีสาน เป็นต้น นอกจากนี้การนำวุ้นเส้นมาใช้ในตำรับจะช่วยให้ท้องอิ่ม น้ำตาลขึ้นได้อย่างช้าๆ และเพื่อให้ได้พลังงานตามที่กำหนด
ควรกินอาหารที่ปรุงด้วยวิธีการต้มนึ่ง ย่าง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ น้ำมันในการปรุงอาหาร ประเภทผัด จะต้องเป็นน้ำมันที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ควรใช้น้ำมันถั่วเหลืองผสมกับน้ำมันรำข้าวในสัดส่วน 1:1 เพื่อลดการอุดตันของไขมันในเส้นเลือดที่จะนำไปสู่โรคหัวใจ
ส่วนน้ำมันปาล์ม ใช้สำหรับอาหารประเภททอด โดยหลังทอดเสร็จแล้ว ควรใช้กระดาษซับเอาน้ำมันออก ก็จะช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงที่สำคัญช่วยยืดอายุให้ยืนยาวมากยิ่งขึ้น
ผศ.ดร.ชนิดา กล่าวเสริมว่าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ที่มีไขมันและคอ เลสเตอรอลสูง เช่น อาหารทะเล หมูสามชั้น หนังเป็ด หนังไก่ เครื่องในสัตว์ อีกทั้งเนื้อสัตว์แปรรูปและอาหารสำเร็จรูป ได้แก่ ไส้กรอกแฮม ปลาส้ม กุนเชียง รวมถึงเนื้อสัตว์ที่มีรสเค็ม เช่น เนื้อเค็มไข่เค็ม ปลาเค็ม อาหารทะเลแช่แข็งก็เช่นกันเพราะอาหารเหล่านี้มีโซเดียม
มีงานวิจัยพบว่า การกินโซเดียมเกินกว่าที่กำหนดมีผลต่อความดันโลหิตสูงส่งผลให้หลอดเลือด ต่างๆ เสื่อมได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญควรระวังโซเดียม จากเครื่องปรุงที่ใช้ในการปรุงรสอาหาร อาทิ เกลือน้ำปลา น้ำตาล ซึ่งร่างกายไม่ได้มีความต้องการ จึงต้องจำกัดปริมาณให้อยู่ในความเหมาะสม มิฉะนั้นการปรุงรสอาหารตามใจปากอาจเป็นส่วนที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็น อันตรายต่อ ความดันเลือดระบบหัวใจ และระดับแคลเซียมในเลือดส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังหรืออาจ ทำให้เสียชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถเพิ่มรสชาติได้โดยการใช้สมุนไพรช่วยในการปรุงรส เช่น หอมแดง ใบมะกรูด กระเทียมข่า ตะไคร้ กระชาย ผักชี ขิง ใบแมงลักเป็นต้น
นอกจากนี้ควรลดการกินขนมจำพวกขนมปังหรือเค้ก ซึ่งใช้ผงฟูซึ่งมีโซเดียมแฝงอยู่ นอกจากนี้ผงฟูยังมีฟอสฟอรัสซึ่งมีผลต่อกระดูกเปราะในผู้ป่วยไตเรื้อรังหาก กินมากเกินไป ควรลดน้ำตาลทรายและอาหารที่มีกะทิ เช่น แกงกะทิ ฉู่ฉี่ ก๋วยเตี๋ยวแขก ข้าวซอย ผลไม้เชื่อมซึ่งมีไตรกลีเซอร์ไรด์ที่นำไปสู่โรคหัวใจ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองและอาหารที่ย่อยยากและชิ้นใหญ่ ไม่ควรกินอาหารมื้อใหญ่ ควรแบ่งเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ กินให้พอเหมาะกับกิจกรรม
นอกจากนี้ ควรจำกัดน้ำดื่มเมื่อมีอาการบวม โดยดื่มน้ำปริมาณเท่ากับปริมาณปัสสาวะต่อวันที่ขับออกมา บวกกับน้ำ 500 ซีซี หลีกเลี่ยงการดื่ม ชา กาแฟช็อกโกแลต น้ำอัดลม เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีทั้งโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในปริมาณค่อนข้างสูง งดการดื่มสุราและสูบบุหรี่
ทั้งนี้ผู้ป่วยควรออกกำลังกายเบาๆซึ่งจะช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า กล้ามเนื้อแข็งแรง และควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้น พักผ่อนให้เพียงพอ และเลี่ยงภาวะตึงเครียดต่างๆ ที่จะทำให้สุขภาพจิตเสื่อมลง ถ้าผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังสามารถปฏิบัติตัวได้ดังกล่าวก็สามารถอยู่อย่างมี คุณภาพชีวิตที่ดีได้แม้เป็นโรคไตเรื้อรัง

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ส้มแขก กับการลดน้ำหนัก

สารเอชซีเอ เป็นสารสกัดจากผลส้มแขกมีคุณสมบัติในการขัดขวางการเปลี่ยนแปลงสารอาหารจำพวก น้ำตาลกลูโคสเป็นสารอาหารจำพวกไขมันสะสมได้ สารสกัดจากผลส้มแขกเป็นสารจากธรรมชาติที่ไม่มีอันตรายต่อร่างกาย จะให้ผลทั้งการลดไขมันสะสมใหม่ที่เกิดจากร่างกายของเรามีสารอาหารน้ำตาล กลูโคสเกินความต้องการ และยังส่งผลในการเร่งสลายไขมันเก่าที่สะสมอยู่โดยเฉพาะในคนอ้วน

ส้มแขก (การ์ซิเนีย GARCINIA) เป็นเครื่องปรุงอาหารที่มีรสเปรี้ยว ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหาร เป็นที่นิยมนำมาปรุงเพื่อใช้ในการทำอาหารพื้นเมืองทางภาคใต้ อย่างเช่น แกงส้ม ปลาต้มเค็ม ต้มยำ ฯลฯ

แต่สิ่งที่ส้มแขกมีมากกว่าความอร่อยคือ สามารถลดไขมันได้เป็นอย่างดี ซึ่งตรงนี้เป็นความก้าวหน้า ทางด้านวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทย นำโดย ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา และคณะ ได้ทำการวิจัย สารสกัดจากส้มแขกในภาคใต้ และค้นพบว่า สามารถลดไขมันซึ่งเป็นส่วนเกินของร่างกาย ได้เป็นอย่างดีทีเดียว

สารสกัดดังกล่าว เรียกว่า "ไฮ-โซล" (Hi-Sole ย่อมาจาก High HCA Concentration water soluble) ซึ่งมีคุณสมบัติในการสกัดกั้นการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต หรืออาหารกลุ่มแป้งและน้ำตาล เป็นไขมัน

ผู้เชี่ยวชาญ ด้านโภชนวิทยา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประเมินผล ความปลอดภัยของการใช้ ไฮ-โซล พบว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของหน้าที่ของตับและไต รวมถึงความดันโลหิตและระดับน้ำตาลในเลือด ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน

ตัวแปรสำคัญ ที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการละลายไขมันส่วนเกินของร่างกาย คือ กรดไฮดรอกซี่ซีตริก เอเซ็ก หรือ ที่เรียกว่า "เอชซีเอ" ไฮ-โซล ซึ่งเป็นสารสกัดจากผลส้มแขกไทย จะมีความเข้มข้นของ เอชซีเอสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และเป็นสารที่ละลายน้ำได้ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ร่างกายสามารถนำเอชซีเอไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่เกิดผลข้างเคียงในระยะยาว

ในภาคใต้โดยเฉพาะใต้ตอนล่าง หากใครเคยมีโอกาสไปเดินตามตลาดนัดจะพบว่า มีส้มแขกวางขายเยอะแยะ เขาจะฝานออกเป็นชิ้นบาง ๆ นำไปตากแห้งจาผลสีเขียวเหลือง จึงมีสีหมองคล้ำดำ ๆ และแห้งเป็นกรรมวิธีแบบพื้นบ้าน แต่สามารถเก็บเอาไว้ใช้ได้นานเป็นเวลา หลาย ๆ เดือน วิธีการนำไปใช้ก็ง่าย กว่ามะขามเปียก เพราะไม่ต้องผ่านขั้นตอนอะไรมาก เพียงนำไปล้างน้ำ ฝุ่นละอองให้สะอาด ก็ใส่ลงไปในหม้อได้เลย ใช้เพียงไม่กี่กลีบก็ได้รสเปรี้ยวแบบนุ่ม ๆ กลิ่นหอมชวนรับประทาน

และหากใครจะนำไปต้มน้ำมารับประทาน โดยไม่ปรุงแต่งรสก็ยิ่งน่าจะดีกว่าการไปหาซื้อ พวกผลิตภัณฑ์ลดความอ้วน ซึ่งมีขายกันอยู่ในท้องตลาดราคาก็แพงกันสุด สุด แต่หากใครลองหาซื้อส้มแขกมาลองต้มดูจะได้อะไรที่มาจากธรรมชาติเพียว ๆ ออกฤทธิ์เห็นผลแน่นอน แถมราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด

เมื่อรับประทานในระยะแรก อาจจะทำให้รู้สึกหิวบ่อยขึ้น เนื่องจากการทำงานของการ์ซิเนีย ทำให้ร่างกายมีการเร่งระบบการเผาผลาญอาหาร ซึ่งจะใช้เวลาราว 1-2 สัปดาห์ และร่างกายจะปรับตัวเองช่วงนี้ก็ให้พยายามดื่มน้ำมาก ๆ และในระยะยาวจะทำให้รู้สึกไม่หิว และจะค่อย ๆ ปรับสมดุลของร่างกาย ให้พอกับความต้องการ ของพลังงานที่ต้องใช้ต่อวัน ของแต่ละบุคคล ดังนั้นเมื่อหยุดส้มแขกแล้วจึงมักจะไม่กลับมาอ้วนอีก

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

เมนูโปรด เมนูเสี่ยง



ในยุคสมัยนี้ อะไรๆ ก็เร่วรีบไปหมด แม้กระทั่งเวลารับประทานอาหาร ยังไม่มีเวลาทำอาหารเอง หรือแม้แต่เลือกซื้ออาหารที่รับประทานง่าย สะดวก รวดเร็ว เมนูยอดฮิตเหล่านั้น อาทิ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง/ไก่ทอด ปาท่องโก๋ ไส้กรอก เบคอน บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เชื่อหรือไม่ว่า เมนูโปรดเหล่านี้ คือ "เมนูเสี่ยง"นำมาสู่โรคภัยต่างๆ ได้

1. อาหารเช้าสไตล์ฝรั่ง
เมนูอาหารเช้าที่ง่ายที่สุดเห็นจะไม่พ้นแซนด์วิชใส่แฮม เบคอน เสริมให้ดูมีคุณค่าทางอาหารมากขึ้นโดยเติมแตงกวา มะเขือเทศ ผๆกกาดหอม ก็ดูเป็นเหมือนเมนูอาหารครบถ้วน แต่ปัญกาอยู่ตรงที่เนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จ เช่น ไส้กรอก แฮม เบคอน ที่ผ่านการแปรรูปทั้งรูปลักษณ์ รสชาติ สีสัน รวมทั้งอายุอาหารให้ยาวขึ้น จึงมีการเติมสารหลายชนิด ซึ่งมีผลในการเกิดมะเร็ง
ดังนั้นหากใครมีเมนูโปรดเป็นเนื้อสัตว์ปรุงสำเร็จเป็นประจำ ก็ควรจะเปลี่ยนเป็นเนื้อสัตว์ประเภทที่ไม่ปรุงสำเร็จ เช่น ปลาอบ ไข่ต้ม หรือ รับประทานอาหารประเภทอื่นบ้าง เช่น ข้าวต้มโจ๊ก ข้าวราดแกง สลัด ถือว่าเปลี่ยนชาติ ได้ความหลากหลาย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งด้วย
2. เมนูปิ้งย่าง
อีกหนึ่งเมนูฮิต คือ "เมนูปิ้งย่าง"ไม่ว่าจะเป็นหมูปิ้ง ไก่ย่างส้มตำ หมูกระทะ บาร์บีคิว เหล่านี้ เป็นต้นตอการเกิดสารพีเอเอช (Polycyclic Aromatic Hydrocarbon) ที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ มีฤทธิ์ก่อมะเร็ง ซึ่งเมื่อมันในอาหารหยดลงบนถ่านไฟร้อนๆ มันก็จะลอยขึ้นมา พร้อมควันมาเคลือบผิวอาหารไว้ จุดไหนที่ยิ่งไหม้เกรียมมาก ก็ยิ่งเต็มไปด้วยสารก่อมะเร็งมากเท่านั้น
ฉะนั้นควรลดความถี่ในการรับประทานเมนูปิ้งย่าง หรือถ้าปรุงเองที่บ้าน แนะนำให้ใช้ใบตองห่ออาหารก่อนการปิ้งย่าง เพื่อลดปริมาณไขมันอาหารที่หยดลงบนถ่าน อีกทั้งยังทำให้อาหารมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน

3. บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป
เชื่อว่าเป็นอีกเมนูที่หลายท่านรับประทานเป็นประจำ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุ แก้ขัด งบน้อย ขี้เกียจ ทำอาร คิดเมนูไม่ออก สะดวกดี แต่โปรดทราบไว้เถอะว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคือ แป้งแปรรูปทอดในน้ำมัน เท่านั้นยังไม่พอ ยังมาพร้อมเครื่องปรุงรส ซึ่งมีทั้งผงชูรส และโซเดียมสูง
ถ้ากินมากกว่าวันละ 1 ซอง หรือกินเป็นประจำคุณกำลังทำร้ายไตให้ต้องทำงานหนัก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ทำให้ตัวเองเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต และเสี่ยงต่อความดันโลหิตสูง
4. อาหารแห้ง
อาหารแห้งมีมากกมายหลายชนิด เช่านประเภท แดดเดียว ตากแห้ง ผลไม้อบแห้ง เครื่องเทศ ถั่วเมล็ดต่างๆเห็ดหอม เยื่อไผ่ กุนเชียง ไข่เค็ม ไข่เยี่ยวม้า เป็นต้น ด้วยความที่ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปหลายขั้นตอน แน่นอนว่าย่อมมีโอกาสเสี่ยงที่จะมีการปนเปื้อนจากทั้งกระบวนการผลิต และเพื่อให้อาหารเก็บได้ยาวนาน และมีสีสันน่ารับประทาน
หากได้รับสารเหล่านี้เป็นประจำ ก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ สารปนเปื้อนในอาหารเหล่านั้น เช่น  สารฟอกขาว ดินประสิว อะฟลาทอกซิน สารกันรา กันบูด เป็นต้น
ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มนี้แต่หากต้องการรับประทานควรสังเกต อาหารแห้งที่ซื้อว่ามีลักษณะ สี กลิ่น ผิดปกติหรือผิดธรรมชาติหรือไม่ ก่อนนำมาปรุงอาหารควรล้างน้ำหลายๆครั้ง โดยแช่น้ำนานๆ หรือลวกด้วยน้ำร้อนทิ้งเพื่อลดปริมาณสารพิษในอาหาร และอย่านำน้ำที่แช่อาหารแห้งมาปรุงอาหาร

5.อาหารทอด
เมนูทอดที่หาซื้อง่าย เช่น ในกลุ่มปาท่องโก๋ ไก่ทอด หมูทอด ไม่ใช่แค่เฉพาะแคลอรี หรือไข มันที่ได้จากอาหารกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ทราบหรือไม่ว่าน้ำมันที่ใช้ทอดอาหารผ่านการทอดมากี่ครั้งแล้ว ระหว่างการทอดจะเกิดสารโพลาร์ที่เกิดจากากรแตกตัวของน้ำมัน ซึ่งหากสารนี้สะสมร่างกาย จะส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ต่างๆนำมาสู่โรคมะเร็ง นอกจากนี้ไขมันที่ถูกออกซิไดซ ปริมาณสูงอาจทำให้อาจทำให้ไลโปโปรตีนชนิดแอลดีแอล มีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ฉะนั้นทางที่ดีที่สุดไม่ควรรับประทานของทอดเป็นประจำ ซึ่งนอกจากจะลดความเสี่ยงต่อการได้รับสารโพลาร์ แล้ว ยังทำให้สุขภาพดีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สมองเสื่อม-จิตป่วย ช่วยได้ด้วยการกิน-อยู่


สมองเสื่อม-จิตป่วย ช่วยได้ด้วยการกิน-อยู่

การจัดรายการโทรทัศน์และวิทยุสดๆนี่เป็นการฝึกสมองและประลองการตัดสินใจอย่างยิ่งยวดครับ

โดยเฉพาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างมีอยู่วันหนึ่งกำลังคุยในรายการผ่านทางโฟนอินก็ให้มีคนไข้แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก มาพอดีก็ต้องมีสติแก้ไขปัญหาให้คนไข้ฉุกเฉินก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยเข้า รายการต่อ รออีกเดี๋ยวก็มีอีกรายการโทรมาให้โฟนอินฉุกเฉินเพราะท่านอธิบดีที่รายการ เชิญมาให้พูดท่านติดภารกิจด่วน ก็พูดกันสดๆตอนนั้นเพราะเป็นรายการสด

พอเข้ารายการเด็กก็กลายร่างไปเป็นพิธีกรเด็ก กดปุ่มแอ๊บเด็กเล่นสนุกดุ๊กดิ๊กกับน้องๆหนูๆ มีความสุขดีครับ ช่วยให้หัวใจเต็มไปด้วยสารสุขรู้สึกริ้วรอยบนใบหน้าหายไปทันใจยิ่งกว่าโฆษณา เครื่องสำอางค์ไหนๆ

ลงหัวใจเด็กเสียแล้ว สมองก็จะไม่แก่ตาม
ความรู้อาจเรียนทันกันหมดได้จริงครับ แต่ไม่ใช่เรื่องของความสุข คนบางคนยิ่งเรียนสูงอาจยิ่งทุกข์ก็ได้ถ้าการเรียนนั้นเป็นไปเพื่อเพิ่มอัตตา ของตัวเอง ผิดกับแม่ค้าขายกล้วยแขกที่แจกเด็กบ้างขายบ้าง ขายเสร็จกลับบ้านนอนยิ้มให้ตัวเองได้ทุกวัน

นี่ละครับความลึกลับแห่งสมอง
ของกิน-ของใช้
ทำลายสมอง
ดังที่บอกไปว่า “ความทุกข์” คือตัวทำลายสมองเพราะมันจะหลั่งสารเครียดออกมา แต่บางคนยังไม่ทันจะเข้าสู่โหมดเครียดเลยก็มีอาการคล้ายสมองเสื่อมเสียก่อน แล้ว

เป็นกันตั้งแต่วัยรุ่นก็ยังได้

นั่นเป็นเพราะรอบตัวเรามีพิษร้ายที่จ้องทำลายสมองอยู่มาก หากไม่ระวังให้ดีเราก็จะตกเป็นเหยื่อมันได้ง่าย ในบรรดาผู้ร้ายทั้งหมดมีที่ร้ายระดับขึ้นทำเนียบดังต่อไปนี้

1) น้ำเชื่อม(HFCS) มีอยู่มากในน้ำอัดลม,น้ำหวานสังเคราะห์หรือแม้แต่น้ำผลไม้บางยี่ห้อ จากที่ทำรายการสุขภาพมานานก็งงว่าน้ำอัดลมยังคงถูกโฆษณาหรือขายลั้นลาอยู่ใน โรงเรียนได้ เด็กไทยเลยต้องอยู่คู่กับน้ำอัดลมเสมอมา นอกจากมีผลกับกระเพาะและลำไส้แล้วขอคุณครูและคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเรื่อง “หวาน” ในน้ำเหล่านี้นะครับที่ย้อนกลับมามีผลต่อสมองของลูกที่ท่านรักได้

2) ความอ้วน ความยุ้ยยวบอวบอ้วนมาเกี่ยวอะไรกับสมองชวนให้คิดนะครับชวนให้ “สมองเสื่อม” เร็วครับ การศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในอังกฤษพบว่าผู้ใหญ่ที่เข้าข่ายอ้วนจะทำแบบ ทดสอบความจำได้แย่กว่าผู้ทดสอบกลุ่มอื่น ซึ่งการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าในระยะเวลา 10 ปีที่ปล่อยตัวให้อ้วนความจำจะเสื่อมลงเรื่อย นี่อาจเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดคนอ้วนบางรายจึงเฉื่อยชาเพราะมาจากสมองนี่เอง

3) อัลกอฮอล์ สุรานานาชนิดปล่อยอัลกอฮอล์เข้าถึงสมองได้เร็ว ยิ่งเหล้าแรงเท่าไรหรือยิ่งดื่มนานมากก็เท่ากับการปล่อยให้สมองอยู่ในดงยา พิษมากเท่านั้น จากการศึกษาโดยเพ็ทสแกนสมองพบว่าขณะที่อัลกอฮอล์ขึ้นไปอาบสมองนั้น กลีบสมองส่วนการตัดสินใจ ยับยั้งชั่งใจและความจำจะแย่ลง นอกจากนั้นอัลกอฮอล์ยังไปทำให้ “สมองน้อย(Cerebellum)” ไม่อาจคุมการเดินให้ตรงทางได้ เกิดการเดินเซไปมาเป็นปูไต่

4) ที่อุดฟัน ท่านที่รักอาจไม่คิดว่าเรามีผู้ร้ายของสมองอยู่ในปากนะครับนั่นคือวัสดุอุด ฟันโดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า “อะมัลกัม(Amalgum)” ที่ทำให้คนมีกรรม นอกจากจะไม่ดูคลาสสิกอย่าง “ฟันเลี่ยมทอง” แล้วในอะมัลกัมยังมี “ปรอท(Mercury)” ที่ค่อยๆเผื่อแผ่ออกมาสู่ร่างกายเรา ทำให้สมองที่ได้รับปรอทเกินขนาดเกิดความผิดปกติไปได้ ในท่านที่อุดฟันด้วยวัสดุที่ไม่ได้คุณภาพจึงควรต้องระวังให้ดี อาจมีฟันสวยได้แต่บ๊ายบายสมองครับ

5) หม้ออลูมิเนียม สมาคมอัลไซเมอร์แห่งอังกฤษพบว่าอลูมิเนียมมีความเกี่ยวพันกับการเกิดโรค อัลไซเมอร์ไม่มากก็น้อย โดยอลูมิเนียมพบในภาชนะ,โรลออนดับกลิ่น,ครีมกันแดด,วัคซีน,ยาเคลือบกระเพาะ และอีกมากครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านอลูมิเนียมจากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษค้นพบด้วยความประหลาด ใจว่าในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรงนั้นในสมองมีอลูมิเนียมสะสมอยู่ในปริมาณ ที่น่าตกใจหลายเท่าของคนปกติ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าอลูมิเนียมทำให้เกิดอัลไซเมอร์แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ น่าจะเป็นสิ่งดีที่สุดครับ

6) ความเครียดและการอดนอน เป็นตัวบ่อนทำลายสมองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าละครตบกันกลางตลาดหลังข่าว ความเครียดทำให้สมองเสื่อมไวกว่าปกติ และการอดนอนทำให้สมองอดได้รับสารเคมีดีๆที่จะหลั่งออกมา การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษพบว่าคนที่ทำงานแบบอดนอนอย่างลูกเรือ บนเครื่องบินจะมีสมองส่วนความจำ “ฝ่อ” ลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสมองส่วนนี้อยู่ด้านข้างทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วย เชื่อว่ามาจากการที่อดนอนบ่อยแล้วทำให้ “คอร์ติซอล” ออกมาทำลายสมองส่วนนี้ครับ

ทั้งหกประการนี้อาจเป็นคำตอบของสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรในหลายๆคน ซึ่งจะเห็นว่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งความเครียดที่ว่าสำคัญก็ยังสามารถจัดการให้สงบได้ แต่ต้องมีเทคนิค

เทคนิค “สะกดเครียด”

ด้วยอาหารและการสะกดใจ
ได้เห็นความร้ายระดับกระชากซากอ้อยของเรื่องกิน-อยู่ที่ดูใกล้ตัวไปแล้ว ทีนี้ก็มาดูกันว่าทางที่จะช่วยดูแลสมองให้ไม่ต้องอยู่ในดงอ้อยดงแขมที่มีแต่ ผู้ก่อการณ์ร้าย สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ก็ยังพอมีวิธีแก้ครับ

โดยใช้เทคนิค “เล่นกับสมอง” ลองในสิ่งแปลกใหม่ แต่ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วยนะครับจึงจะจัดระเบียบจิตใจและสมองได้อย่างสวยงาม การทำตามวิธีต่อไปนี้ถือเป็นทางช่วยที่ดีครับ

1) หัดรับประทานอาหารบำรุงสมอง โดยเฉพาะ ถั่ว,ธัญพืช,ข้าวกล้องงอก,ข้าวหอมนิลและผลไม้จำพวกเบอร์รี่ต่างๆ หรือถ้าแบบไทยๆจะเป็นองุ่น,ลูกหว้า,มะเม่า,ลูกหม่อนก็ได้
2) หัดใช้มือ คนที่ใช้มือได้แคล่วคล่องมีทักษะการใช้นิ้วที่ดีมีการประสานกันเปรียบเหมือน การฝึกสมองอยู่เรื่อยๆ จะทำให้สมองไม่เฉื่อยและคิดงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) หัดเขียนหนังสือ ข้อดีของการเขียนหนังสือคือได้ “คิดอีกครั้ง” ดังนั้นเมื่อการเขียนหนังสือเป็นการคิดครั้งที่ 2 แล้วจึงทำให้สมองจดจำเรื่องราวได้ดีราวกับมีเม็มโมรี่การ์ดเพิ่ม
4) หัดเต้น การเต้นรำหรือเล่นดนตรีไม่ว่าสเต็ปไหนก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพสมองดีขึ้น เพราะการสเต็ปอัพจะต้องใช้ทั้งสมองส่วนคุมแขน-ขาและประสาทสัมผัสหูฟังจังหวะ ให้ดี คนที่เต้นเก่งจึงต้องมีสมองที่ดีด้วยคือพอได้ยินแล้วตอบสนองปุ๊บ คนที่ไม่ได้เต้นอาจฝืดในช่วงแรกแต่พอนานไปจะทำได้เองครับ
5) หัดทำทีละอย่าง การที่คนเราขี้ลืมหรือสมองเฉื่อยชาไปเป็นเพราะจมอยู่กับความเครียด,หมกมุ่น และที่สำคัญคือ “ขาดสติ” จากการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน วิธีเริ่มง่ายๆคือให้ทำงานทีละอย่างไปไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ถ้าใครรีบก็ให้เขาไปก่อนครับ
6) อย่าปล่อยให้ว่าง ที่ไหนมีว่างที่นั่นมี “วุ่น” ครับ ความว่างคือบ่อเกิดของความเวิ่นเว้อวุ่นวาย คนที่ขี้เหงาเอาแต่ใจนั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่ง “ว่างมาก” สมองที่ว่าก็เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวขึ้นอืดในชาม นอกจากกินไม่อร่อยแล้วยังอาจบูดอีกด้วย สมองที่ว่างงานจะคิดช้าครับเหมือนกับเครื่องยนตร์ที่อืดเฉื่อยส่งผลต่อชีวิต ได้มาก
คนที่วุ่นวายเรื่องของตัวเองมากเป็นต้นเหตุหนึ่งของความเสื่อมทางจิตและสมอง เมื่อวัดเป็นดีกรีแล้วความรุนแรงของการทำลายสมองจะเกิดขึ้นมากเมื่อ

1) มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน
2) คิดถึงและหมกมุ่นอยู่แต่ตัวเอง
3) ปล่อยชีวิตและความคิดไปเรื่อยเปื่อย
โกรธทุกครั้งเหมือนนั่งดื่มยาพิษให้จำไว้ครับ คนที่ชอบ “เพ่งโทษ” คนอื่นก่อนก็คือคนที่ช่างเครียดด้วยเพราะการจับผิดคนอื่นคือความทุกข์โดยไม่ รู้ตัว คนเรามักจะนึกถึงตัวเองก่อนโดยไม่ตั้งใจ ขนาดพยายามมีสติยังอดเห็นแก่ตัวไม่ได้ ดังนั้นในคนที่ปล่อยไว้ไม่เคยฝึกจิตก็ยิ่งมีสิทธิ์ส่งทุกข์ให้สมองได้มาก หากไม่พยายามเข้าใจ

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปลาดิบไม่มีพยาธิ (จริงหรือ ?)

ปลาดิบไม่มีพยาธิ (จริงหรือ ?) 



ปลาดิบเป็นอาหารญี่ปุ่นประเภทหนึ่งที่คนไทยหันมาบริโภคมากขึ้นตามกระแสนิยม คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าด้วยรูปลักษณ์ รสชาติ และความแปลกใหม่ของอาหารญี่ปุ่น ทำให้หลายคนไม่ละโอกาสที่จะได้ลิ้มลองความสดใหม่ของปลาดิบ ซึ่งหลายคน เชื่อว่าปลาทะเลมีคุณค่าทางอาหารสูงและมีความปลอดภัยสูงในการบริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อว่าไม่พบพยาธิในปลาซึ่งอาศัยอยู่ในน้ำทะเลเค็มๆ อย่างแน่นอน จะพบพยาธิก็แต่เฉพาะปลาน้ำจืดเท่านั้น ดังนั้นจึงรับประทานปลาดิบได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องหวาดกลัวอะไรทั้งสิ้น (นอกจากราคาที่อาจจะแพงอยู่สักหน่อย) แต่หลังจากอ่านบทความนี้แล้วคงต้องทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า ปลาน้ำเค็ม ที่นำมาทำปลาดิบนั้น ก็อาจมีพยาธิได้!!!!! ดังข่าวที่แพร่กระจายในสังคมออนไลน์เมืองไทยช่วงเดือนสิงหาคม 2554 ที่ผ่านมาว่าพบพยาธิตัวกลมชนิดหนึ่งในปลาดิบที่ขายอยู่ตามร้านอาหารญี่ปุ่น ทั่วไป โดยเจ้าพยาธิที่ว่านี้มีชื่อว่า อะนิซาคิส หรือ ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Anisakis simplex เจ้าพยาธิชนิดนี้คืออะไร?? มาจากไหน?? และจะมีอันตรายแค่ไหน?? บางคนอาจจะคุ้นๆ หลายคนอาจเคยได้ยินเป็นครั้งแรก เราไปทำความรู้จักกับพยาธิ Anisakis simplex กันดีกว่า

ลักษณะและวงจรชีวิตของพยาธิอะนิซาคิส


พยาธิอะนิซาคิส (Anisakis simplex) พบในปลาทะเลที่วางขายในประเทศ โดยตรวจพบตัวอ่อนของพยาธิชนิดนี้ในปลาหลาย ชนิด เช่น ปลาดาบเงิน ปลาตาหวาน ปลาสีกุน ปลาทูแขก ปลากุเลากล้วย ปลาลัง เป็นต้น ส่วนในต่างประเทศจะพบในปลาจำพวก ปลาคอด ปลาแซลมอน ปลาเฮอริ่ง ลักษณะของมันเป็นพยาธิตัวกลม มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ตัวโตเต็มวัยมีความยาวถึงประมาณ 2-5 ซม. พบอยู่ในกระเพาะของปลาโลมา ปลาวาฬ และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลชนิดอื่นๆ ไข่ของพยาธิจะปนออกมากับอุจจาระ เจริญเป็นตัวอ่อนอยู่ในทะเล มีพาหะเป็นพวกกุ้ง ปลาน้ำเค็มตัวเล็กๆ และเมื่อสัตว์เหล่านี้ถูกกินด้วยปลาตัวอื่น พยาธิก็จะฝังตัวอยู่ในกล้ามเนื้อของปลาเหล่านั้น ซึ่งคนที่รับประทานปลาดิบที่มีพยาธินี้อยู่ก็จะติดเชื้อพยาธิได้ จากนั้นพยาธิจะถูกปลดปล่อยออกมาจากเนื้อปลาที่รับประทานเข้าไป โดยน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร หรืออาจจะถูกขับออกมาจากกระเพาะอาหารเสียก่อนโดยการอาเจียน ซึ่งก็จะไม่ทำให้เกิดโรค แต่ในกรณีที่พยาธิไม่ถูกขับออกไป พยาธิอาจจะชอนไชไปตามทางเดินอาหาร แล้วอยู่ในลำไส้ และอยู่นอกลำไส้ภายในช่องท้องก็ได้

ในระหว่างปี พ.ศ. 2508-2530 มีรายงานว่าพบผู้ป่วยในประเทศญี่ปุ่น ประมาณ 4000 ราย ซึ่งพบการเกิดก้อนทูมในกระเพาะอาหารมากที่สุด พบก้อนทูมบางที่ที่ลำไส้และในช่องท้อง ถ้าตัดก้อนทูม จะพบพยาธิอยู่ภายในก้อนทูม การรักษาทำได้โดยการผ่าตัด พ.ศ. 2538 มีรายงานพบผู้ป่วยในญี่ปุ่นประมาณ 2000 ราย ในสหรัฐอเมริกามีรายงานการพบผู้ป่วยประมาณ 500 รายต่อปี ในยุโรปมีประมาณ 500 ราย สำหรับประเทศไทยก็มีรายงานการพบผู้ป่วยครั้งแรกจากพยาธิชนิดนี้ในชาวประมง ทางภาคใต้ และยังมีรายงานว่าพบผู้ที่เกิดอาการแพ้ต่อพยาธิตัวนี้ทำให้เกิดผื่นลมพิษ ซึ่งในประเทศสเปนมีรายงานว่าบางรายเกิดอาการแพ้ชนิดเฉียบพลันด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็พบผู้ป่วยจากพยาธิชนิดนี้เป็นจำนวนน้อยมากต่อปี

อาการและการรักษา

อาการของโรคคือ ภายหลังจากได้รับพยาธิ 1 ชั่วโมง อาจมีอาการปวดท้อง ปวดกระเพาะอาหาร ลำไส้อุดตัน คลื่นไส้อาเจียน และอาจมีอาการคล้ายๆ ไส้ติ่งอักเสบ อาจจะทำให้วินิจฉัยผิดพลาดเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือไส้ติ่งอักเสบได้ บางรายอาจถ่ายออกมาเป็นมูกเลือด ภายใน 1-5 วัน ผู้ป่วยอาจจะอาเจียนออกมาเป็นตัวพยาธิ หรืออาจจะพบพยาธิเมื่อส่องกล้องเข้าไปในหลอดอาหาร เนื่องจากตัวอ่อนไม่สามารถเจริญและวางไข่ในคนได้ ดังนั้นการ ตรวจอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิชนิดนี้จึงไม่ช่วยในการวินิจฉัย การรักษามีทางเดียวคือการเอาตัวพยาธิออกมาจากผนังกระเพาะหรือบริเวณเนื้อ เยื่อที่พยาธิเข้าไปฝังตัวอยู่ โดยการผ่าตัด เพราะยาฆ่าพยาธิใช้ไม่ได้ผล

การป้องกัน

เมื่อจำเป็นต้องรับประทานเนื้อปลาทะเล ควรทำให้สุกด้วยอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส อย่างน้อย 5 นาที ถ้าเป็นเนื้อปลาสดควรเก็บที่อุณหภูมิ ต่ำกว่า -20 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 7 วัน หรือต่ำกว่า -35 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 15 ชั่วโมง จะทำให้พยาธิ Anisakis simplex ตายได้ ดังนั้นการรับประทานปลาดิบ อาหารอันเลื่องชื่อของแดนอาทิตย์อุทัย เราจึงต้องให้ความระมัดระวัง อย่างน้อยให้สังเกตดูลักษณะของเนื้อปลาก่อนรับประทานว่ามี ตัวอ่อนของพยาธิปะปนอยู่หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยและความอร่อยที่ไร้อันตรายแอบแฝง

อ.ดร.ภก.จตุรงค์ ประเทืองเดชกุล
ภก. สุเมธ จงรุจิโรจน์
ภาควิชาจุลชีววิทยา
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล



http://www.you-can-do.net/?refno=98574
เริ่มต้นธุรกิจด้วยเงินเพียง 180 บาท

5 วิธีเพิ่มการเผาผลาญในวัย 40 up


การลดน้ำหนักสำหรับวัยรุ่นดูจะเป็นเรื่องไม่ยากเย็นนัก เพราะระบบเผาผลาญของเรา ยังทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพอยู่ แต่ถ้าอายุเหยียบเลข 4 แล้วล่ะก็ ระบบเผาผลาญจะเริ่มทำงานช้าลงไปเรื่อย ๆ และถ้าคุณอยู่ในกลุ่ม 40Up แล้ว ต้องเร่งระบบการเผาผลาญให้ตัวเองได้แล้วล่ะ ด้วย 5 วิธีที่เราขอเสนอ

1.ทานให้พอดี

รู้ไหม? หากคุณรับประทานอาหารน้อยกว่า 1,000 แคลอรี่ต่อวัน หรือเน้นแต่การไดเอตมากเกินไป นั่นจะยิ่งทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานช้าลง เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะร่างกายจะพยายามเก็บพลังงาน เอาไว้ให้คุณนั่นไงล่ะ เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้คุณ ๆ วัย 40 อัพ พยายามทานอาหารมื้อย่อย ๆ บ่อย ๆ ซึ่งมันจะช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิซึ่มให้คุณได้ ที่สำคัญ ควรเลือกทานอาหารที่ไม่ใช่อาหารแปรรูป เช่น ข้าวกล้อง ผักสีเขียว ผลไม้สด หรือโปรตีนที่ปราศจากไขมัน (Lean Protein) เช่น อกไก่ ไข่ขาว ปลา

2.จำไว้! อาหารเช้าสำคัญมาก ๆ

หากต้องการเร่งระบบเมตาบอลิซึ่ม คุณควรจะทานอาหารเช้าภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากลุกจากที่นอน เพราะอาหารมื้อนี้แหละที่จะช่วยเติมพลังให้คุณไปทั้งวัน แนะนำให้เน้นการทานโปรตีน เช่น ไข่ขาว และผลไม้ อย่างเช่น เกรปฟรุต ซึ่งจะช่วยเติมพลังงานให้คุณเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างสดชื่นทั้งวัน

3.เติมโปรตีนในทุกมื้อ

โปรตีนนี่แหละคือสารอาหารสำคัญที่คน วัย 40 อัพ ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะช่วยทำให้คุณอิ่มไปได้นาน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย ได้ยินแบบนี้  หลายคนอาจจะดีใจคิดจะทานเบคอน ไส้กรอก อย่างอิ่มหมีพีมันล่ะสิ หยุด! โปรตีนที่เราบอกหมายถึงโปรตีนจากถั่ว และอาหารประเภทนมจากโยเกิร์ตต่างหาก

4.เคลื่อนไหวเยอะ ๆ

อย่าลืมนะครับว่าคุณไม่ใช่วัยรุ่น แล้ว หากคุณยังทำตัวเหมือนสมัยหนุ่มๆสาว ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ วัน ๆ ทำแต่งาน โดยไม่ลุกไปไหน หรือไม่ออกกำลังกายเลย งานนี้ คุณแย่แน่ ๆ ค่ะ เพราะเมื่ออายุขึ้นเลข 4 แล้ว ร่างกายของคุณจะทำงานแตกต่างไปจากเดิม ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลงกว่าเดิมมาก แต่การออกกำลังกายนี่แหละที่จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้คุณรู้สึกแข็งแรงขึ้นด้วย ถ้าคิดไม่ออกว่าจะออกกำลังกายแบบไหนดี การเต้นแอโรบิก หรือเดินไกล ๆ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

5.จิบชาเขียวทุกวัน

ออกกำลังกายกันไปแล้ว ลองมาเพิ่มอัตราการเผาผลาญด้วยอาหารกันบ้างดีกว่า โดยมีผลวิจัยออกมาว่า ชาเขียว คือตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพของการเมตาบอลิซึ่ม เพราะมันประกอบด้วยสาร Epigallocatechin หรือ EGCG ซึ่งเป็นสารกลุ่มคาเทชิน ที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และยังช่วยลดน้ำหนักด้วย

นอกจากนี้ กาเฟอีนในชาเขียวยังจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางให้ไปเผาผลาญไขมันในร่างกายได้มากขึ้นด้วย แต่กาเฟอีนในชาเขียวนี้ไม่มีผลต่อการทำให้คุณนอนไม่หลับหรอกนะ เพราะฉะนั้น อย่าลืมจิบชาเขียวทุก ๆ วัน

หนุ่มๆสาว ๆ ทุกวัยล้วนต้องดูแลสุขภาพตัวเองทั้งนั้น  คนวัยกลางคนก็เช่นกัน ถ้าอยากผอมหุ่นดีเหมือนสมัยวัยรุ่นล่ะก็ ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นเป็นสองเท่าเลยนะ

พฤติกรรมเสี่ยงต่อดวงตา


ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท กับชีวิตประจำวันของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยิ่งนับวันเรายิ่งถูกเทคโนโลยีเหล่านี้ผลักดันให้เราใช้สายมากขึ้นและนาน ขึ้นในแต่ละวัน โดยเราไม่รู้ตัวว่ากำลังทำร้ายสายตาอยู่

เป็นที่น่าวิตกว่า คนส่วนใหญ่ใช้สายตาทำงานหนักมาก แต่กลับละเลยการดูแลสุขภาพดวงตา จนอาจมีอาการผิดปกติซึ่งส่งผลกระทบต่อการมองเห็นหรือการทำงานของตา จากผลการสำรวจสุขภาพสายตาของคนไทย ของกระทรวงสาธารณสุขที่เคยสำรวจไว้ โดยใช้วิธีตรวจวัดสายตาในกลุ่มวัยแรงงาน ซึ่งมีประมาณ 45 ล้านคน พบว่าร้อยละ 30 มีสายตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างผิดปกติ โดยคาดว่าขณะนี้จะมีคนไทยไม่ต่ำกว่า 14 ล้านคนมีสายตาผิดปกติ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ทำให้มีอาการเมื่อยตา ตาแห้ง เคืองตา แสบตา แพ้แสง ตาพร่า ปวดตา เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่ส่งผลให้เกิดปัญหาสายตา เช่น การทำงานกลางแจ้งและกลางแดดนานๆ การอ่านหนังสือในที่ๆ แสงสว่างไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ เป็นต้น
นพ.อาทิตย์ เจียรนัยศิลาวงศ์ จักษุแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนในวัยทำงานส่วนใหญ่มีแนวโน้มของการใช้คอมพิวเตอร์สูง ขึ้น รวมถึงมีการใช้ดวงตาทำสิ่งต่างๆ มากมาย หรือแม้แต่ทำงานในที่ที่มีแสงสว่างไม่เหมาะสม ล้วนแล้วแต่ทำให้ดวงตาเกิดอาการล้า ไม่สบายตา ปวดกระบอกตา ตาพร่ามัว ตาแห้ง กล้ามเนื้อรอบดวงตาเกร็ง เคืองตา น้ำตาไหล ฯลฯ
นอกจากจอคอมพิวเตอร์แล้ว ปัจจุบันเราอยู่ในยุคของ Gen S (Generation of Screen) ที่เป็นยุคแห่งโลกดิจิตอล ที่คนส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น และอยู่ท่ามกลาง จอรอบ ตัว ไม่ว่าจะเป็น จอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ และจอโทรทัศน์ และนับวันแนวโน้มการใช้สายตาในการมองจอเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
 ดัง นั้น ทางที่ดีที่สุดเราควรปกป้องและดูแลสุขภาพดวงตาอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน และคอเลสเตอรอลสูง เพราะอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยอนุมูลอิสระที่จะไปทำลายเนื้อเยื่อในร่างกาย ให้เสื่อมสภาพได้ หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่นแสงแดดจ้า ลมแรง การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้สายตาในที่ที่มีแสงสลัวหรือแสงที่ไม่เหมาะสม
หากจำเป็นต้องทำงานหน้า คอมพิวเตอร์ก็ควรนั่งในระยะห่างที่เหมาะสม ปรับแสงสว่างหน้าจอให้พอดี หยุดพักสายตาโดยการมองไปที่ไกลๆ เป็นระยะๆ เพื่อให้กล้ามเนื้อตาคลายตัว กะพริบตาถี่ ๆ บ้าง เพื่อช่วยให้ตาชุ่มชื่น เพิ่มน้ำหล่อลื่นภายในดวงตา รวมถึงต้องพักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือเดิน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดที่ดวงตาดีขึ้น ช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดี ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพดวงตาปีละครั้ง และหากมีอาการผิดปกติ เกี่ยวกับการมองเห็น ตาแดง เคืองตา ควรรีบพบจักษุแพทย์
ที่สำคัญควรรับประทานอาหารที่ดีมี ประโยชน์ และอาหารที่ช่วยบำรุงและถนอมดวงตา ข้อมูลจาก อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช นักกำหนดอาหารขึ้นทะเบียนวิชาชีพจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า การมีสุขภาพดวงตาที่ดีนั้น ต้องเริ่มต้นด้วยการมีโภชนาการที่ดี ซึ่งก็คือ อาหารที่มีสารอาหารแอนติออกซิแดนท์ที่จะพบมากในผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งจะมีวิตามินเอ ซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน และไบโอฟลาโวนอยด์ ส่วนเกลือแร่ที่สำคัญสำหรับดวงตาคือสังกะสี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มากมายหลายชนิด มีสารอาหารเหล่านั้นสูงเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นบิลเบอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอร์แรนต์ โช้คเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอยเซ็นเบอรี และฮัคเคิลเบอร์รี่ เป็นต้น

อ.ศัลยา คงสมบูรณ์เวช เปิดเผยว่า จากการวิจัยเกี่ยวกับโรคตาในหลายๆ ประเทศพบว่า ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดยเฉพาะบิลเบอร์รี่ ที่หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคย ซึ่ง บิลเบอร์รี่ ก็คือ บลูเบอร์รี่ที่เราชอบรับประทานกันนั่นเอง จากการศึกษาพบว่า สารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่น ๆ นอกจากนี้ บิลเบอร์รี่ยังมีวิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีนสูง  ซึ่งล้วนแต่เป็นสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเช่นกัน จึงช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยปกป้องเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อมอีกด้วย
และยังมีหลายผลวิจัย พบว่า สารแอนโธไซยานินในบิลเบอร์รี่ ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ซึ่งลดความเสี่ยงโรคเบาหวานขึ้นตา ต้อหินและต้อกระจกได้หากควบคุมดูแลเบาหวานให้ดี และช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าของตาและช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดหรือที่ มีแสงน้อย นอกจากนี้ยังช่วยเสริมสร้างการสังเคราะห์สารคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนของเลือด
นอกจากนี้ ยังมีผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อื่นๆ ได้แก่ แบล็คเคอร์แรนต์ มีส่วนช่วยให้ตารับภาพในเวลากลางคืนได้ดี แครนเบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินซีในสูง จึงให้ประโยชน์ในการช่วยดูแลสุขภาพดวงตา โช้คเบอร์รี่ ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดในตาดีขึ้น อาซาอิเบอร์รี่ ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตาได้ดียิ่งขึ้น เอลเดอร์เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงจึงช่วยในเรื่องการมองเห็น
เมื่อ ไม่นานมานี้ก็มีการวิจัยในอาสาสมัครที่ป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่พบว่า การดื่มเอลเดอร์เบอร์รี่ ช่วยให้ผู้ป่วยหายจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้เร็วขึ้น และสตรอเบอร์รี่ ที่คนไทยรู้จักกันดีเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงก ว่า วิตามินซี และวิตามินอี ในปริมาณเท่าๆ กัน จึงอาจช่วยป้องกันโรคหวัดได้ อีกทั้งยังมีรายงานจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการ พบว่า ฤทธิ์สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์รี่ปกป้องเซลล์ประสาทได้ดี ซึ่งบริเวณจอประสาทตามีเซลล์ประสาทสำหรับการรับภาพอยู่มาก
การรับประทานผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่หรือใน รูปเบอร์รี่สกัดเข้มข้น จึงช่วยให้ได้สารอาหารบำรุงสายตามากมาย ลดอาการเหนื่อยล้าและอาการเจ็บตารวมถึงป้องกันหรือชะลอความเสื่อมที่ก่อให้ เกิดโรคทางสายตา แต่ต้องมีปริมาณที่มากพอและเหมาะสมที่จะส่งผลต่อสุขภาพตา การรับประทานผลไม้เบอร์รี่ในรูปสกัดเข้มข้นย่อมได้สารแอนโธไซยานินและสาร ต้านอนุมูลอิสระอื่น ๆ ในปริมาณมากกว่าการรับประทานผลสด หรือเตรียมเอง ทำให้ได้อาหารบำรุงตามากขึ้นในการป้องกันโรคและความผิดปกติที่เกิดกับดวงตา เพื่อเป็นอีกทางเลือกในการดูแลสุขภาพดวงตาของคนยุคดิจิตอล ช่วยป้องกันการเสื่อมสภาพของตาก่อนเวลาอันควรอย่างแท้จริง และนอกจากผลไม้ในกลุ่มเบอร์รี่แล้ว ยังมีผักและผลไม้อื่นๆ ที่ช่วยในการบำรุงสายตาเช่นกัน ได้แก่ แครอท ผักบุ้ง ตำลึง ผักคะน้า มะละกอ มะม่วงสุก เป็นต้น



ผลิตภัณฑ์แนะนำ
ได้ทั้งผิวสวยใส และรักษาดวงตาจากน้ำมิกซ์เบอรี่