วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
สมองเสื่อม-จิตป่วย ช่วยได้ด้วยการกิน-อยู่
สมองเสื่อม-จิตป่วย ช่วยได้ด้วยการกิน-อยู่
การจัดรายการโทรทัศน์และวิทยุสดๆนี่เป็นการฝึกสมองและประลองการตัดสินใจอย่างยิ่งยวดครับ
โดยเฉพาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
อย่างมีอยู่วันหนึ่งกำลังคุยในรายการผ่านทางโฟนอินก็ให้มีคนไข้แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก มาพอดีก็ต้องมีสติแก้ไขปัญหาให้คนไข้ฉุกเฉินก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยเข้า รายการต่อ รออีกเดี๋ยวก็มีอีกรายการโทรมาให้โฟนอินฉุกเฉินเพราะท่านอธิบดีที่รายการ เชิญมาให้พูดท่านติดภารกิจด่วน ก็พูดกันสดๆตอนนั้นเพราะเป็นรายการสด
พอเข้ารายการเด็กก็กลายร่างไปเป็นพิธีกรเด็ก กดปุ่มแอ๊บเด็กเล่นสนุกดุ๊กดิ๊กกับน้องๆหนูๆ มีความสุขดีครับ ช่วยให้หัวใจเต็มไปด้วยสารสุขรู้สึกริ้วรอยบนใบหน้าหายไปทันใจยิ่งกว่าโฆษณา เครื่องสำอางค์ไหนๆ
ลงหัวใจเด็กเสียแล้ว สมองก็จะไม่แก่ตาม
ความรู้อาจเรียนทันกันหมดได้จริงครับ แต่ไม่ใช่เรื่องของความสุข คนบางคนยิ่งเรียนสูงอาจยิ่งทุกข์ก็ได้ถ้าการเรียนนั้นเป็นไปเพื่อเพิ่มอัตตา ของตัวเอง ผิดกับแม่ค้าขายกล้วยแขกที่แจกเด็กบ้างขายบ้าง ขายเสร็จกลับบ้านนอนยิ้มให้ตัวเองได้ทุกวัน
นี่ละครับความลึกลับแห่งสมอง
ของกิน-ของใช้
ทำลายสมอง
ดังที่บอกไปว่า “ความทุกข์” คือตัวทำลายสมองเพราะมันจะหลั่งสารเครียดออกมา แต่บางคนยังไม่ทันจะเข้าสู่โหมดเครียดเลยก็มีอาการคล้ายสมองเสื่อมเสียก่อน แล้ว
เป็นกันตั้งแต่วัยรุ่นก็ยังได้
นั่นเป็นเพราะรอบตัวเรามีพิษร้ายที่จ้องทำลายสมองอยู่มาก หากไม่ระวังให้ดีเราก็จะตกเป็นเหยื่อมันได้ง่าย ในบรรดาผู้ร้ายทั้งหมดมีที่ร้ายระดับขึ้นทำเนียบดังต่อไปนี้
1) น้ำเชื่อม(HFCS) มีอยู่มากในน้ำอัดลม,น้ำหวานสังเคราะห์หรือแม้แต่น้ำผลไม้บางยี่ห้อ จากที่ทำรายการสุขภาพมานานก็งงว่าน้ำอัดลมยังคงถูกโฆษณาหรือขายลั้นลาอยู่ใน โรงเรียนได้ เด็กไทยเลยต้องอยู่คู่กับน้ำอัดลมเสมอมา นอกจากมีผลกับกระเพาะและลำไส้แล้วขอคุณครูและคุณพ่อคุณแม่อย่าลืมเรื่อง “หวาน” ในน้ำเหล่านี้นะครับที่ย้อนกลับมามีผลต่อสมองของลูกที่ท่านรักได้
2) ความอ้วน ความยุ้ยยวบอวบอ้วนมาเกี่ยวอะไรกับสมองชวนให้คิดนะครับชวนให้ “สมองเสื่อม” เร็วครับ การศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในอังกฤษพบว่าผู้ใหญ่ที่เข้าข่ายอ้วนจะทำแบบ ทดสอบความจำได้แย่กว่าผู้ทดสอบกลุ่มอื่น ซึ่งการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าในระยะเวลา 10 ปีที่ปล่อยตัวให้อ้วนความจำจะเสื่อมลงเรื่อย นี่อาจเป็นคำอธิบายว่าเหตุใดคนอ้วนบางรายจึงเฉื่อยชาเพราะมาจากสมองนี่เอง
3) อัลกอฮอล์ สุรานานาชนิดปล่อยอัลกอฮอล์เข้าถึงสมองได้เร็ว ยิ่งเหล้าแรงเท่าไรหรือยิ่งดื่มนานมากก็เท่ากับการปล่อยให้สมองอยู่ในดงยา พิษมากเท่านั้น จากการศึกษาโดยเพ็ทสแกนสมองพบว่าขณะที่อัลกอฮอล์ขึ้นไปอาบสมองนั้น กลีบสมองส่วนการตัดสินใจ ยับยั้งชั่งใจและความจำจะแย่ลง นอกจากนั้นอัลกอฮอล์ยังไปทำให้ “สมองน้อย(Cerebellum)” ไม่อาจคุมการเดินให้ตรงทางได้ เกิดการเดินเซไปมาเป็นปูไต่
4) ที่อุดฟัน ท่านที่รักอาจไม่คิดว่าเรามีผู้ร้ายของสมองอยู่ในปากนะครับนั่นคือวัสดุอุด ฟันโดยเฉพาะชนิดที่เรียกว่า “อะมัลกัม(Amalgum)” ที่ทำให้คนมีกรรม นอกจากจะไม่ดูคลาสสิกอย่าง “ฟันเลี่ยมทอง” แล้วในอะมัลกัมยังมี “ปรอท(Mercury)” ที่ค่อยๆเผื่อแผ่ออกมาสู่ร่างกายเรา ทำให้สมองที่ได้รับปรอทเกินขนาดเกิดความผิดปกติไปได้ ในท่านที่อุดฟันด้วยวัสดุที่ไม่ได้คุณภาพจึงควรต้องระวังให้ดี อาจมีฟันสวยได้แต่บ๊ายบายสมองครับ
5) หม้ออลูมิเนียม สมาคมอัลไซเมอร์แห่งอังกฤษพบว่าอลูมิเนียมมีความเกี่ยวพันกับการเกิดโรค อัลไซเมอร์ไม่มากก็น้อย โดยอลูมิเนียมพบในภาชนะ,โรลออนดับกลิ่น,ครีมกันแดด,วัคซีน,ยาเคลือบกระเพาะ และอีกมากครับ ผู้เชี่ยวชาญด้านอลูมิเนียมจากมหาวิทยาลัยคีลในอังกฤษค้นพบด้วยความประหลาด ใจว่าในผู้ป่วยอัลไซเมอร์ขั้นรุนแรงนั้นในสมองมีอลูมิเนียมสะสมอยู่ในปริมาณ ที่น่าตกใจหลายเท่าของคนปกติ แม้จะยังไม่แน่ชัดว่าอลูมิเนียมทำให้เกิดอัลไซเมอร์แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ น่าจะเป็นสิ่งดีที่สุดครับ
6) ความเครียดและการอดนอน เป็นตัวบ่อนทำลายสมองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าละครตบกันกลางตลาดหลังข่าว ความเครียดทำให้สมองเสื่อมไวกว่าปกติ และการอดนอนทำให้สมองอดได้รับสารเคมีดีๆที่จะหลั่งออกมา การศึกษาโดยมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษพบว่าคนที่ทำงานแบบอดนอนอย่างลูกเรือ บนเครื่องบินจะมีสมองส่วนความจำ “ฝ่อ” ลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสมองส่วนนี้อยู่ด้านข้างทำหน้าที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ด้วย เชื่อว่ามาจากการที่อดนอนบ่อยแล้วทำให้ “คอร์ติซอล” ออกมาทำลายสมองส่วนนี้ครับ
ทั้งหกประการนี้อาจเป็นคำตอบของสมองเสื่อมก่อนวัยอันควรในหลายๆคน ซึ่งจะเห็นว่าล้วนแต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งความเครียดที่ว่าสำคัญก็ยังสามารถจัดการให้สงบได้ แต่ต้องมีเทคนิค
เทคนิค “สะกดเครียด”
ด้วยอาหารและการสะกดใจ
ได้เห็นความร้ายระดับกระชากซากอ้อยของเรื่องกิน-อยู่ที่ดูใกล้ตัวไปแล้ว ทีนี้ก็มาดูกันว่าทางที่จะช่วยดูแลสมองให้ไม่ต้องอยู่ในดงอ้อยดงแขมที่มีแต่ ผู้ก่อการณ์ร้าย สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ก็ยังพอมีวิธีแก้ครับ
โดยใช้เทคนิค “เล่นกับสมอง” ลองในสิ่งแปลกใหม่ แต่ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วยนะครับจึงจะจัดระเบียบจิตใจและสมองได้อย่างสวยงาม การทำตามวิธีต่อไปนี้ถือเป็นทางช่วยที่ดีครับ
1) หัดรับประทานอาหารบำรุงสมอง โดยเฉพาะ ถั่ว,ธัญพืช,ข้าวกล้องงอก,ข้าวหอมนิลและผลไม้จำพวกเบอร์รี่ต่างๆ หรือถ้าแบบไทยๆจะเป็นองุ่น,ลูกหว้า,มะเม่า,ลูกหม่อนก็ได้
2) หัดใช้มือ คนที่ใช้มือได้แคล่วคล่องมีทักษะการใช้นิ้วที่ดีมีการประสานกันเปรียบเหมือน การฝึกสมองอยู่เรื่อยๆ จะทำให้สมองไม่เฉื่อยและคิดงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) หัดเขียนหนังสือ ข้อดีของการเขียนหนังสือคือได้ “คิดอีกครั้ง” ดังนั้นเมื่อการเขียนหนังสือเป็นการคิดครั้งที่ 2 แล้วจึงทำให้สมองจดจำเรื่องราวได้ดีราวกับมีเม็มโมรี่การ์ดเพิ่ม
4) หัดเต้น การเต้นรำหรือเล่นดนตรีไม่ว่าสเต็ปไหนก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพสมองดีขึ้น เพราะการสเต็ปอัพจะต้องใช้ทั้งสมองส่วนคุมแขน-ขาและประสาทสัมผัสหูฟังจังหวะ ให้ดี คนที่เต้นเก่งจึงต้องมีสมองที่ดีด้วยคือพอได้ยินแล้วตอบสนองปุ๊บ คนที่ไม่ได้เต้นอาจฝืดในช่วงแรกแต่พอนานไปจะทำได้เองครับ
5) หัดทำทีละอย่าง การที่คนเราขี้ลืมหรือสมองเฉื่อยชาไปเป็นเพราะจมอยู่กับความเครียด,หมกมุ่น และที่สำคัญคือ “ขาดสติ” จากการทำงานหลายอย่างพร้อมกัน วิธีเริ่มง่ายๆคือให้ทำงานทีละอย่างไปไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง ถ้าใครรีบก็ให้เขาไปก่อนครับ
6) อย่าปล่อยให้ว่าง ที่ไหนมีว่างที่นั่นมี “วุ่น” ครับ ความว่างคือบ่อเกิดของความเวิ่นเว้อวุ่นวาย คนที่ขี้เหงาเอาแต่ใจนั่นเป็นเพราะส่วนหนึ่ง “ว่างมาก” สมองที่ว่าก็เหมือนกับก๋วยเตี๋ยวขึ้นอืดในชาม นอกจากกินไม่อร่อยแล้วยังอาจบูดอีกด้วย สมองที่ว่างงานจะคิดช้าครับเหมือนกับเครื่องยนตร์ที่อืดเฉื่อยส่งผลต่อชีวิต ได้มาก
คนที่วุ่นวายเรื่องของตัวเองมากเป็นต้นเหตุหนึ่งของความเสื่อมทางจิตและสมอง เมื่อวัดเป็นดีกรีแล้วความรุนแรงของการทำลายสมองจะเกิดขึ้นมากเมื่อ
1) มีความโกรธเป็นเจ้าเรือน
2) คิดถึงและหมกมุ่นอยู่แต่ตัวเอง
3) ปล่อยชีวิตและความคิดไปเรื่อยเปื่อย
โกรธทุกครั้งเหมือนนั่งดื่มยาพิษให้จำไว้ครับ คนที่ชอบ “เพ่งโทษ” คนอื่นก่อนก็คือคนที่ช่างเครียดด้วยเพราะการจับผิดคนอื่นคือความทุกข์โดยไม่ รู้ตัว คนเรามักจะนึกถึงตัวเองก่อนโดยไม่ตั้งใจ ขนาดพยายามมีสติยังอดเห็นแก่ตัวไม่ได้ ดังนั้นในคนที่ปล่อยไว้ไม่เคยฝึกจิตก็ยิ่งมีสิทธิ์ส่งทุกข์ให้สมองได้มาก หากไม่พยายามเข้าใจ