วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

หลีกเลี่ยง อาหาร 11 อย่างที่ทำให้คุณ แก่ขึ้น!

1. น้ำตาล - น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวหนังของคุณไม่ยืดหยุ่น จนเกิดรอยเหี่ยวย่นลึก ซึ่งจะทำให้คุณดูแก่ขึ้น













2. ไขมันไม่อิ่มตัว - โดยเฉพาะไขมันไม่อิ่มตัวที่มีทรานส์ไอโซเมอร์สูง เช่นเนื้อวัว เฟรนช์ไฟรส์ ส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน และผิวหนังดูแก่ขึ้น














3. เกลือ - เกลือจะไปดูดซึ่มน้ำในร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคไต ความดันในเลือดสูง และชะลอดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระดูก

















4. กาแฟ - กาแฟจะดูดซึมน้ำในร่างกาย และทำให้ดูเหนื่อยล้า
















5. ลูกอม - น้ำตาลในลูกอม ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในร่างกาย และทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น















6. สารให้ความหวานเทียม - เช่น แอสปาแตม ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวและปวดข้อ และทำให้อยากน้ำตาลมากขึ้น






7. แอลกอฮอล์ - แอลกอฮอลจะดูดซึมน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น ชลอการจับตัวกันของคอลาเจนต้ผิวหนัง ทำให้เกิดจุดแดงและอาการบวม








8. เครื่องดื่มชูกำลัง - เครื่องดื่มชูกำลังทำลายสารเคลือบฟันมากกว่าดื่นน้ำอัดลมถึง 8 เท่า ทำให้ฟันเหลือและฟันไม่แข็งแรง



9. คาร์โบไฮเดรท - คาร์โบไฮเดรทจำนวนมากเกินไปจะทำลายคอลาเจนและเส้นใยใต้ผิวหนัง



10. อาหารทอด - การบริโภคอาหารทอด ทำให้จับตัวกันของคอลาเจนใต้ผิวหนังช้าลง ส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น








11. น้ำอัดลม - การดื่มน้ำอัดลมทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอ่อนเพลีย







เพราะฉะนั้น เลือกทานแต่ของที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกันนะครับ หลีกเลี่ยงของทั้ง 11 อย่างได้ก็ให้เลี่ยงครับ




วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ผลไม้ตระกูล "เบอร์รี่" ถนอมสายตา Gen S

<< ผลไม้ตระกูล “เบอร์รี่” ถนอมสายตา .. Gen S >>








มีงานวิจัยในต่างประเทศพบว่า ผลไม้ที่มีสารอาหารที่ช่วยในเรื่อง ของสายตามากที่สุด คือ ผลไม้ในตระกูล “เบอร์รี่” ทั้งหลาย เช่น สตรอเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเคอร์แรนต์ โช้คเบอร์รี่ อาซาอิเบอร์รี่ เอลเดอร์เบอร์รี่ บอยเซ็นเบอร์รี่ ฮัคเคิลเบอร์รี่ และบิลเบอร์รี่ หรือบลูเบอร์รี่ ที่หลายคนชอบรับประทาน

ในส่วนของ “บิลเบอร์รี่” นั้น มีข้อมูลว่าถูกจัดให้เป็นผลไม้เพื่อสุขภาพมาตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินของอังกฤษสังเกตว่า การรับประทาน “บิลเบอร์รี่” ทำให้ความสามารถในการมองเห็นในเวลากลางคืนดีขึ้น และทำให้อาการเมื่อยล้าของดวงตาจากการใช้งานนานๆ ลดน้อยลง

ต่อมาได้มีการทำวิจัยเกี่ยวกับ “บิลเบอร์รี่กับดวงตา” และพบว่าใน “บิลเบอร์รี่” มีสาร “แอนโธไซยานิน” ซึ่งเป็นสารไบโอฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงม่วงจนไปถึงน้ำเงิน มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูงเมื่อเทียบกับผักและผลไม้อื่นๆ

จึงช่วยป้องกันดวงตาจากการทำลายของอนุมูลอิสระ แถมยังช่วยป้องกันเลนส์แก้วตาถูกทำลาย หรือขุ่นมัว อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคต้อกระจก และจอประสาทตาเสื่อมด้วย

 


 
ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือมีผลการวิจัยพบว่า สาร “แอนโธไซยานิน” ในบิลเบอร์รี่ ช่วยป้องกันเส้นเลือดฝอยจากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวานขึ้นตา ต้อหิน และต้อกระจกได้ หากควบคุมดูแลเบาหวานให้ดี

นอกจากนี้ สาร “แอนโธไซยานิน” ยังช่วยป้องกันอาการอ่อนล้าของตา ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในทีมืดหรือที่มีแสงน้อย ทั้งยังช่วยเสริมสร้างการสังเคราะห์สารคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังหลอดเลือดฝอย จึงเป็นการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไหลเวียนเลือด

**ตัวเลขล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า คนไทยไม่น้อยกว่า 14 ล้านคนมีสายตาผิดปกติ ส่วนหนึ่งมาจากการใช้สายตามากเกินไป รวมไปถึงผลกระทบที่เกิดจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ IT ทั้งหลายที่มีจอเป็นส่วนประกอบ

กลุ่มที่มีปัญหามากที่สุด คือกลุ่มที่เรียกว่า Gen S หรือ Generation of Screen ซึ่งมีไลฟ์สไตล์เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีจอภาพ ไม่ว่าจะเป็นจอคอมพิวเตอร์ จอแท็บเล็ต จอมือถือ จอโทรทัศน์

ว่ากันว่ากลุ่ม Gen S เป็นกลุ่มใหญ่ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาในเรื่องของสายตามากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ เพราะใช้เวลามากกว่า 80% ของชีวิตประจำวันกับการใช้คอมพิวเตอร์ ในการทำงาน ท่องอินเตอร์เน็ต รวมทั้งการใช้มือถือดูหนัง ฟังเพลง ถ่ายภาพ เล่นเกมส์ แชทหาเพื่อน

งานวิจัยทางการแพทย์หลายประเทศระบุตรงกันว่า แสงสว่างจากหน้าจออุปกรณ์เหล่านี้เป็นอันตรายต่อดวงตาและสายตา โดยเฉพาะหากเป็นจอมือถือและแท็บเล็ตที่มีตัวหนังสือขนาดเล็ก ต้องอาศัยการเพ่งและจ้องเป็นเวลานานๆด้วยแล้ว จะทำให้กล้ามเนื้อตาทำงานหนักยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ก่อให้เกิดความเสื่อมของสายตาก่อนวัยอันควร**

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก คอลัมน์ “สมาร์ทไลฟ์” นสพ.ไทยรัฐ วันที่ 27 เม.ย. 56

วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

โรคนิ่วในถุงน้ำดี รู้ไว้ก่อน



***นิ่วในถุงน้ำดี***


นิ่วในถุงน้ำดี (gallstones) เกิดจากการตกผลึกของหินปูน (แคลเซียม) หรือคอเลสเทอรอลที่มีอยู่ในน้ำดี ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการตกผลึกของสารเหล่านี้ เชื่อว่าเกี่ยวกับการติดเชื้อของทางเดินน้ำดี และความไม่สมดุลของส่วนประกอบในน้ำดี การตกผลึกของสารเหล่านี้ อาจทำให้เกิดเป็นก้อนนิ่วเพียงก้อนเดียว หรือก้อนเล็ก ๆ หลายๆ ก้อนก็ได้ รวมทั้งคนที่มีระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูง หญิงที่มีบุตรแล้ว ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน ทาลัสซีเมีย โลหิตจางจากเม็ดเลือดแดงแตก จะมีโอกาสเป็นนิ่วในถุงน้ำดีมากกว่าคนทั่วไป

อาการ
เราอาจแบ่งอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดีออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ไม่มีอาการกับประเภทที่มีอาการ

•ประเภทที่ไม่มีอาการ - นิ่วในถุงน้ำดี ส่วนใหญ่ (มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์) ไม่มีอาการ และในกลุ่มนี้ จะมีโอกาสเกิดอาการขึ้นได้ ประมาณ 1-2 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อย จะไม่มีอาการผิดปกติแสดงให้เห็นแต่อย่างใด และมักจะตรวจพบโดยบังเอิญ จากการตรวจเช็คร่างกายด้วยโรคอื่น

•ประเภทมีอาการ - สามารถลำดับอาการตั้งแต่น้อยไปหามาได้ดังนี้

1.ท้องอืด แน่นท้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังรับประทานอาหารมัน ซึ่งอาการแบบนี้ อาจเกิดจากโรคระบบทางเดินอาหารอื่น เช่น โรคกระเพาะอาหารหรือโรคของลำไส้ใหญ่ ก็ได้

2.ปวดเสียดท้อง อาการปวดท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา หรือลิ้นปี่ ซึ่งมักเป็นหลังรับประทานอาหารมัน แต่อาการอาจเป็นอยู่นานหลายชั่วโมง (แต่มักไม่เกิน 8 ชั่วโมง) แล้วค่อยกลับเป็นปกติ อาจร้าวไปสะบักขวา หรือที่หลัง

3.ถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงขวามากขึ้น และมีการตรวจพบการกดเจ็บบริเวณนี้ ร่วมกับมีไข้ และอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนด้วย

4.มีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง

วิธีการรักษา
ในปัจจุบันไม่มียาที่รับประทานแล้วนิ่วหายไปได้ทันที คนที่รับประทานยารักษาโรคนิ่ว ต้องรับประทานยาไปตลอดชีวิต ที่สำคัญยาที่ใช้รักษามีราคาแพง วิธีนี้จึงไม่เป็นที่นิยมมากนัก นิ่วในถุงน้ำดีที่ไม่มีอาการ ส่วนใหญ่ไม่ต้องผ่าตัด เพราะอาจไม่มีอาการเลยตลอดชีวิต ยกเว้นในคนไข้บางกลุ่ม ที่แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัด เช่น อายุน้อย (เพราะมีโอกาสเกิดอาการขึ้นมาได้ในอนาคต) โรคโลหิตจางบางชนิด เป็นต้น

ส่วนนิ่วในถุงน้ำดีที่มีอาการ หรือมีภาวะแทรกซ้อนแล้วควรได้รับการผ่าตัด การรักษานิ่วในถุงน้ำดีในกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าว คือการผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก ซึ่งวิธีมาตรฐานดั้งเดิมใช้วิธีการ ผ่าตัดเปิดหน้าท้อง บริเวณใต้ชายโครงขวา แต่ปัจจุบันมีการผ่าตัดอีกวิธีคือ การผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกโดยใช้กล้องส่องผ่านหน้าท้อง

การป้องกัน

โรคนี้อาจป้องกันได้ ด้วยการควบคุมระดับคอเลสเทอรอลในเลือด และรักษาโรคเบาหวานให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งดูแลในเรื่องอาหารการกิน

อาหาร ยาดีป้องกันโรค

ส่วนอาหารที่ช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ได้แก่ อาหารจำพวกแป้งที่ไม่ขัดสี , ผักและผลไม้สด , รำข้าวโอ๊ต และถั่ว

อาหารที่ควรงดเว้น ได้แก่ อาหารทอด และอาหารมัน

ที่มา : ชีวจิต/สมิติเวช/by สาระแห่งสุขภาพ


สนใจทำธุรกิจกิฟฟารีน Online
http://www.you-can-do.net/?refno=98574




น้ำมันปลาช่วยรักษาโรคประสาท

น้ำมันปลาช่วยรักษาโรคประสาท
ผลการวิจัยยืนยันสอดคล้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าน้ำมันปลารักษาโรคประสาทได้ ล่าสุดมีการเปรียบเทียบการรักษาคนไข้วิกลจริตสลับกับอาการซึมเศร้า ด้วยน้ำมันปลาและน้ำมันมะกอก พบว่าในน้ำมันปลาช่วยทำให้คนไข้มีอารมณ์ปกติ ได้นานกว่าน้ำมันมะกอกอย่างมีนัยสำคัญ การวิจัยอีกชิ้นหนึ่งรักษาคนไข้อัลไซเมอร์ 30 คน ด้วยน้ำมันปลานาน 12 สัปดาห์ พบว่าคนไข้ 1 ใน 3 อาการลดลงมากจนกระทั่งไม่ต้องกินยาระงับประสาทเลยตลอดช่วงการทดลอง นักวิจัยคาดว่าน้ำมันปลาช่วยปรับอารมณ์ให้คงที่ได้ เพราะมีกรดไขมันที่ช่วยลดความตื่นตัวมากเกินไปของเซลล์ประสาทบางส่วนในสมอง

ที่มาข้อมูล baanjomyut.com





ผลิตภัณฑ์แนะนำ
น้ำมันปลา
น้ำมันปลา ขนาด 1,000 มก.
คำเตือน : อ่านคำเตือนในฉลากก่อนบริโภค ไม่มีผลในการป้องกันหรือรักษาโรค
ฆอ. 1213/2553
บรรจุ 90 แคปซูล
ราคา 540 บาท




สนใจผลิตภัณฑ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ชรินทร์ 081377718
สนใจทำธุรกิจกิฟฟารีน Online
http://www.you-can-do.net/?refno=98574






 

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

คุณประโยชน์จากการดื่มน้ำลูกพรุน

น้ำลูกพรุน ... ประกอบด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ได้แก่


- วิตามิน B2 มีส่วนในการเจริญเติบโตของเซลล์ร่างกาย
ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
- วิตามิน C สารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง ที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์
ทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
- วิตามิน E สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจน
ที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย บำรุงสายตา ช่วยการไหลเวียนของโลหิต
ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ดูมีสุขภาพดี
- แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท
และเสริมสร้างกระดูกและฟัน
- เหล็ก พรุนเป็นแหล่งสะสมของธาตุเหล็ก
ที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง

ประโยชน์ของลูกพรุน >>

- มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด
ทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้
- มีส่วนช่วยลดไขมันในเลือด ชนิด LDL Cholesterol
- มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
- น้ำลูกพรุนแม้มีรสหวาน แต่ประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดฟรุกโตส และซอร์บิทอล
ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว
- ช่วยระบาย รักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่และในเด็กเล็ก
(สำหรับเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)
ผลิตภัณฑ์แนะนำ
 
น้ำลูกพรุน พรุนนัส(พรุนสกัดเข้มข้น) ตรากิฟฟารีน
ขนาด 700 มล.
ราคา 680


สนใจผลิตภัณฑ์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ชรินทร์ 0813777187
สนใจทำธุรกิจกิฟฟารีน Online
http://www.you-can-do.net/?refno=98574


 

 

กินยาควรรู้ สองสิ่งนี้..เมื่อจับคู่กันแล้วอันตรายกว่าที่คิด!!

กินยาควรรู้ สองสิ่งนี้..เมื่อจับคู่กันแล้วอันตรายกว่าที่คิด!!


1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน...

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง..

ขอบขอบคุณ ข้อมูลจาก กอ.รมน. สวนรื่นฤดี

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

ลูกพรุน

น้ำลูกพรุนทำมาจากผลพลัมแห้ง ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายเป็นจำนวนมาก ทั้งวิตามินและแร่ธาตุ
จึงเป็นที่รู้จักและนิยมรับประทานกันเป็นระยะเวลานาน โดยลักษณะที่นำมารับประทาน คือ ลักษณะผลสด ผลตากแห้ง และน้ำพรุน ประกอบด้วย

-    วิตามิน B2 มีส่วนในการเจริญเติบโตของเซลล์ร่างกาย ช่วยในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
-    วิตามิน C  สารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง ที่ช่วยป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ ทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น
-    วิตามิน E สารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย บำรุงสายตา ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ดูมีสุขภาพดี
-    แคลเซียม ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบประสาท และเสริมสร้างกระดูกและฟัน
-    เหล็ก พรุนเป็นแหล่งสะสมของธาตุเหล็กที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง

ประโยชน์ของลูกพรุน
1.    มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งมีทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้และละลายน้ำไม่ได้
2.    ลดไขมันในเลือด ชนิด LDL Cholesterol
3.    มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง
4.    น้ำลูกพรุนแม้มีรสหวาน แต่ประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิดฟรุกโตส และซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว
5.    ช่วยระบาย รักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่และในเด็กเล็ก (แต่ถ้าเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ)

ข้อควรระวัง
-    น้ำลูกพรุนมีโพแทสเซียมสูง ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตวายที่ได้รับการล้างไต
-    ไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยฤทธิ์การระบาย อาจทำให้ท้องเสียได้ในบางราย ปริมาณที่เหมาะสม คือ รับประทานครั้งละ 15-30 cc.ต่อคน

ลูกพรุนจึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์ อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุสูง อีกทั้งยังอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะชีวิตปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเครียดและความกดดันจากงาน ลูกพรุนจึงเป็นตัวช่วยหนึ่งที่สำคัญอีกตัว

ผลิตภัณฑ์ แนะนำ



น้ำลูกพรุน พรุนนัส(พรุนสกัดเข้มข้น) ตรากิฟฟารีน

ขนาด 700 มล.
ราคา 680

เอกสารอ้างอิง
1.    Consumption of prunes as a source of dietary fiber in men with mild hypercholesterolemia. Am J Clin Nutr 1991;53(5): 1259-65.
2.    Prune fiber or pectin compared with cellulose lowers plasma and liver lipids in rats with diet-induced hyperlipidemia. J Nutr 1994; 124(1):31 - 40.
3.    Quantitative Evaluation of Antioxidant Components in Prunes (Prunus domestica L.). J Agric Food Chem 2003Feb 26;51(5): 1480 – 1485.
4.    Chemical composition and potential health effects of prunes : a functional food? Crit Rev Food Sci Nutr 2001 May;41(4):251-86.

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ผักและผลไม้

ปัญหาด้านโภชนาการของเด็กไทยในวันนี้ นอกจากจะชอบรับประทานอาหาร หรือขนมที่มีการปรุงแต่งรสชาติ สีสัน มากด้วยน้ำตาล และไขมัน แต่มีคุณค่าทางโภชนาการน้อยแล้ว ยังไม่ชอบรับประทานพืชผักผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กลายเป็นเรื่องที่จะต้องมีการรณรงค์ เพื่อปรับพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ให้เด็กไทยหันมาสนใจบริโภคผักกันมากขึ้น

จากการสำรวจภาวะอาหาร และโภชนาการของประชาชนในกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2546-2547 พบว่า เด็กวัยเรียนมีการบริโภคผักทุกวัน เพียงร้อยละ 41.1 ในปริมาณวันละ 14.3 กรัมต่อคน หรือประมาณ 1.5 ช้อนกินข้าว ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่าธงโภชนาการ ซึ่งแนะนำให้เด็กวัยเรียนอายุ 6-13 ปี ควรบริโภคผักมื้อละ 4 ช้อนกินข้าว นอกจากนี้ยังพบว่า เด็กวัยเรียนมีการบริโภคอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมันเพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ควรมีการบริโภคผัก ผลไม้ให้ได้วันละ 500 กรัม เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคมะเร็ง เป็นต้น (อ้างอิงที่ 1)
และมีงานวิจัยที่แสดงว่าชายไทยร้อยละ 80 กินผักผลไม้เพียง 268 กรัม/คน/วัน และหญิงไทยร้อยละ 76 กินผักผลไม้เพียง 286 กรัม/คน/วัน ซึ่งตัวเลขนี้ห่างจากมาตรฐานที่ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดไว้ที่ 400-500 กรัม/คน/วัน พอสมควรทีเดียว ผลของการไม่กินผักทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาอย่างมากมาย อาทิ ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารมีปัญหา อาจมีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งและโรคหัวใจ เพราะได้รับคุณค่าของสารอาหารไม่เพียงพอ ซึ่งต้องหันมากินผักและผลไม้ให้มากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารอย่างเพียงพอ ไม่ควรกินผักผลไม้เพียงแค่ชนิดเดียว ควรกินให้ได้หลากหลายสี ทั้ง แดง เหลือง ส้ม เขียว ขาว เพราะแต่ละชนิดให้คุณค่าของวิตามิน เกลือแร่และพฤกษเคมี สารเม็ดสีในผักผลไม้เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นประโยชน์แตกต่างกันไป ดังนี้ 

 ผัก ผลไม้ สีแดง ที่เห็นคุณประโยชน์เด่นชัดเลยก็คือ มะเขือเทศ ทับทิม เชอร์รี่ สตรอเบอร์รี่ หรือแม้กระทั่งลูกแอปเปิ้ลแดงก็ตาม ในผัก ผลไม้สีแดงนี้จะมีสารไลโคพีน(Lycopene) กรดเอลลาจิก (Ellagic acid) แอนโธไซยานิน(Anthocyanin) และกรดแกลลิก (Gallic acid) ที่ช่วยทำให้ระบบการทำงานของต่อมลูกหมากดีขึ้น ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งหลายชนิดอีกด้วย 

 ผัก ผลไม้ สีเหลือง และสีส้ม จะช่วยในเรื่องของผิว เพราะมีเบต้าแคโรทีน(Bata-carotene) อยู่จำนวนมาก เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพด ใครที่กินผัก ผลไม้ประเภทนี้มาก ๆ ผิวจะกลายเป็นสีเหลือง นั่นเป็นเพราะสารเบต้าแคโรทีนไปสะสมอยู่ตรงบริเวณผิวหนัง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนัง ผัก ผลไม้ สีเหลือง มีส่วนช่วยในการลดระดับโคเลสเตอรอล ช่วยทำให้สีผิวหน้าที่เป็นฝ้าลดลงได้ รวมทั้งข้าวโพดเหลือง ๆ ที่ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีของเรตินาของดวงตาได้อีกด้วย 

 ผัก ผลไม้ สีเขียว ที่แทบจะเรียกได้ว่ามีมากที่สุดในบรรดาผัก ผลไม้ต่าง ๆ เช่น บร็อคโคลี่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม ผักบุ้ง กวางตุ้ง โหระพา กะเพรา สะระแหน่ และวอเตอร์เครส โดยในผักสีเขียวจะอุดมไปด้วยสารไอโซไธโอไซยาเนท(Isothiocyanate) สารลูทีน (Lutein) สารซีแซนทีน (Zeaxanthin) สารคาเทชิน(Catechins) สารอาหารเหล่านี้จะเข้าไปมีส่วนช่วยทำให้เซลล์สามารถทำงานได้ดีขึ้น ทั้งยังสนับสนุนการทำงานของปอด หลอดเลือดแดง และตับอีกด้วย 
 ผัก ผลไม้ สีขาว ได้แก่กระเทียม หอมใหญ่ เห็ด กะหล่ำดอก ผักกาดขาว ดอกแค และมะขามป้อม มีสารอาหารที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงเช่นกัน โดยในกระเทียมมีสารอัลลิซิน(Allicin) สารเควอซิทิน(Quercetin) ที่ช่วยดูแลในเรื่องของกระดูก และทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตในร่างกายดี ดอกแคก็มีวิตามินซีสูง ช่วยป้องกันโรคหวัด มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยให้ผิวสวย 
(อ้างอิงที่ 2)

ในการกินผักผลไม้นั้น นอกจากจะได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์อย่างครบถ้วนแล้ว ยังได้ในเรื่องของกากใยเพื่อช่วยในเรื่องของระบบขับถ่าย นอกจากนี้ผักผลไม้ยังมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บได้เร็วขึ้น มาใส่ใจในการกินผักผลไม้ ตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า

เอกสารอ้างอิง : 
1. กินผักทุกวัน เด็กไทยทำได้...ของขวัญวันเด็ก จาก กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขhttp://www.anamai.moph.go.th/ewtadmin/ewt/advisor/main.php?filename=070204
2. ผัก ผลไม้ 5 สี ดีมีประโยชน์, กองสร้างเสริมสุขภาพ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร http://203.155.220.217/hpd/slide8.html

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

อยากฟันขาวต้องกินอะไร

 อยากฟันขาวต้องกินอะไร มีเทคนิคอย่างไรให้คราบอาหารหลุดลอกเรามาลองดู 8 มหัศจรรย์พิชิตฟันขาว เพื่อสุขภาพที่ดี ฟันขาวสวย แข็งแรง
 1. แอปเปิ้ล และแครอท ทั้งสองอย่างนี้คือผักผลไม้กรอบที่ช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลาย ซึ่งเป็นน้ำยาทำความสะอาดตามธรรมชาติ และด้วยความกรอบ จึงช่วยขัดคราบออกจากฟันในขณะที่เคี้ยวด้วย
 2. บล็อกโคลี่ ไม่เพียงแต่บร็อกโคลี่จะมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันคุณจากมะเร็งและโรคหัวใจ แต่ยังช่วยปกป้องฟันโดยการสร้างเยื่อบาง ๆ ที่มีฤทธิ์ต้านกรด จึงช่วยปกป้องและเคลือบฟันอีกทีหนึ่ง เคยมีงานวิจัยจากบราซิลพบว่า บร็อกโคลี่จะช่วยลดการสึกกร่อนของเคลือบฟันที่เกิดจากน้ำอัดลมได้กว่าครึ่ง
 3. ส้ม และสับปะรด ผลไม้ทั้งสองช่วยกระตุ้นการสร้างน้ำลาย สำหรับส้มนั้น ลองนำด้านในของเปลือกมาถูกับฟัน จะช่วยลดการสะสมของคราบ ทำให้ยิ้มของคุณสวยขึ้นอีก
 4. น้ำมะนาว สิ่งที่ต้องลองก็คือ ผสมน้ำมะนาวกับเบคกิ้งโซดา หรือเกลือ เพื่อนำมาแปรงฟันให้ฟันขาว (อย่าลืมกลั้วปากให้สะอาดด้วยน้ำเปล่าหลังจากนั้น เพราะกรดจากน้ำมะนาวอาจทำให้เคลือบฟันกร่อนได้)
 5. สตรอเบอร์รี่ แตกต่างจากเบอร์รี่สีเข้มอื่น ๆ เพราะสตรอเบอร์รี่จะไม่ทำให้ฟันเป็นคราบ แต่จะช่วยขัดฟัน ลองผสมแป้งทำเป็นครีมแล้วทาลงบนฟันสัก 5 นาทีแล้วค่อยล้าง จะพบว่าฟันสะอาดขึ้น
 6. เห็ดหอม ความลับอยู่ที่น้ำตาล Lentinan ในเห็ดหอม จะช่วยป้องกันการสะสมของแบคทีเรียในช่องปากที่นำไปสู่ฟันผุและเคลือบฟันกร่อน
 7. งา เมล็ดงาทำหน้าที่เป็นเหมือนสครับที่ช่วยลดคราบฟัน นอกจากนี้ ยังให้แคลเซียมซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อสุขภาพฟันที่ดี นอกจากงาแล้ว ถั่วอย่างเช่น อัลมอนด์ ก็ให้ผลแบบเดียวกัน
 8. น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ นับเป็นน้ำยาขจัดคราบที่ดีมาก แต่รสชาติไม่ค่อยเหมาะกับการนำไปกลั้วปากเท่าไหร่ ลองใช้แอปเปิ้ลไซเดอร์ผสมกับเบกกิ้งโซดาทำเป็นครีมไว้ถูบนฟันจะดีกว่า