วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับแคลเซียม
เร่งสูง ในช่วงวัยที่เหมาะสม เพราะช่วงวัยรุ่นเท่านั้น ที่ร่างกายจะเติบโตได้เต็มที่ที่สุด ยุคนี้ ความสูงเป็นสิ่งสำคัญในการเบิกทางไปสู่สิ่งที่ดีมากมายโดยเฉพาะอาชีพดารานัก ร้อง นายแบบนางแบบ หรือนักกีฬา ที่เป็นความใฝ่ฝันของวัยรุ่นหลายๆ คน แต่บางคนอาจอยากสูงเมื่อสายไป เพราะไม่รู้ว่าช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงปีทองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เหมาะสมกับการเสริมแคลเซียม เพื่อพัฒนาร่างกายได้อย่างเต็มที่ มารู้จัก Growth Spurt กันเถอะ... ช่วงปีทองของวัยรุ่น หรือ Growth Spurt หากร่างกายได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ จะมีส่วนสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6-11 ซม./ปี เลยที่เดียว โดยวัยรุ่นชาย จะอยู่ในช่วงอายุ 10 – 16 ปี ส่วนวัยรุ่นหญิงจะอยู่ในช่วงอายุ 9 – 13 ปี หรือก่อนมีประจำเดือน ซึ่งปัจจัยที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างเต็มที่ นอกจากฮอร์โมน พันธุกรรม และการออกกำลังกายแล้ว อาหารก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูง เช่น นมสด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเสริมสร้างความยาวของกระดูก หากขาดแคลเซียมในช่วงนี้ ก็จะทำให้เติบโตได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าหากได้รับแคลเซียมเพิ่มขึ้นก็จะมีการเจริญเติบโตที่รวดเร็วมาก เด็กในช่วงปีทอง จึงควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,200 มก. หรือดื่มนมให้ได้วันละ 5 – 6 แก้ว ซึ่งเป็นปัญหาของเด็กไทยที่ส่วนใหญ่จะดื่มนมได้น้อย หรือไม่ชอบดื่มนม จึงควรกินแคลเซียมเสริม เพื่อให้ได้ปริมาณแคลเซียมและฟอสฟอรัสที่เหมาะสมในแต่ละวัน ด้วยความปรารถนาดีจาก บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด
คุณรู้หรือไม่ว่าการขาดแคลเซียม แมกนีเซียมและวิตามินบี เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิด ตะคริว!!!/
ภาวะกล้ามเนื้อเป็นตะคริว
ตะคริว (Muscle cramp) คือภาวะที่มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อโดยไม่มีการคลายออกตามปกติ มักเกิดไม่เกินสองนาที แต่อาจมีบางรายเกิดนานได้เป็นชั่วโมงหรือมากกว่านั้น และบางรายอาจเกิดบ่อยจนทำให้เกิดความทุกข์ทรมานและรบกวนการดำเนินชีวิตปกติได้ อาการนี้แม้จะไม่ส่งผลถึงแก่ชีวิต แต่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากเกิดในระหว่างทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ขับรถหรือว่ายน้ำ ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
โรคกล้ามเนื้อเป็นตะคริว สามารถเกิดได้ในทุกวัย และพบได้บ่อยมากขึ้นในผู้สูงอายุ โดยผู้หญิงและผู้ชายมีโอกาสเกิดได้ใกล้เคียงกัน กล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวบ่อยที่สุด คือ กล้ามเนื้อน่องและเท้า รองลงมา คือ กล้ามเนื้อหลัง อย่างไรก็ตามตะคริวสามารถเกิดขึ้นได้กับกล้ามเนื้อทุกมัด
แม้ว่าโรคกล้ามเนื้อเป็นตะคริวจะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง และมักหายได้เอง แต่เมื่อหายแล้วก็สามารถกลับมาเป็นใหม่ได้เสมอ ทั้งนี้ขึ้นกับสาเหตุการเกิดโรค
อาการ
อาการของโรคกล้ามเนื้อ เป็นตะคริว คือ การปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน ปวดมาก คลำได้ว่ากล้ามเนื้อเกร็งแข็ง เป็นก้อนเข็ง เจ็บเวลาคลำ และเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดนั้นไม่ได้เนื่องจากเจ็บหรือปวดมาก
สาเหตุ
1.เกิดจากการที่เอ็นและกล้ามเนื้อขาดการยืดตัวบ่อยๆ ส่งผลให้มีการหดรั้งและเกร็งได้ง่ายเมื่อมีการใช้กล้ามเนื้อนั้นมากเกินไป เช่น กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานเกินกำลังจากการเดินมากเกินไป หรือออกกำลังมากเกินขีดจำกัด รวมทั้งกรณีที่กล้ามเนื้อไม่สามารถผ่อนคลายได้ตามปกติจากการสวมรองเท้าคับ หรือสวมรองเท้าส้นสูงเป็นระยะเวลานาน
2.เกิดจากร่างกายสูญเสียปริมาณน้ำหรือสูญเสียเกลือแร่สำคัญในการคลายตัวของกล้ามเนื้อ ได้แก่ แคลเซียม เกลือโซเดียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งเกิดจากการเล่นกีฬาหักโหม ท้องเสียรุนแรง โรคลำไส้อักเสบ และโรคที่ส่งผลต่อสมดุลของเกลือแร่ในร่างกาย เช่น ไตวาย โรคของต่อมไทรอยด์ โรคเบาหวาน รวมทั้งภาวะการขาดวิตามินบี ขาดแคลเซียม ก็เป็นสาเหตุที่พบบ่อยอีกสาเหตุหนึ่ง
3.เกิดจากเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติไป
4.เกิดจากการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดีพอ ซึ่งมักพบในผู้ที่มีโรคที่ทำให้หลอดเลือดตีบ เช่น โรคเบาหวาน เป็นต้น
5.เกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น ยาขับน้ำ ยาลดไขมันบางชนิด ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ ยารักษาโรคสมองบางชนิด
การดูแลตนเองและการพบแพทย์
- ขณะกำลังเกิดตะคริว
ควรนั่งพัก และประคบร้อนด้วยถุงร้อนหรือกระเป๋าน้ำอุ่น แล้วนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อมัดนั้น เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวแล้วจึงประคบเย็นด้วยน้ำแข็ง
รับประทานยาบรรเทาปวด เช่น ยาแก้ปวดพาราเซตามอล หรืออาจรับประทานยาคลายกล้ามเนื้อร่วมด้วย ตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำ
- ควรพบแพทย์เมื่อ
เกิดตะคริวบ่อยจนรบกวนการดำเนินชีวิตประจำวัน
อาการเจ็บหรือปวดแต่ละครั้งรุนแรง หรือนาน2-3วันแล้วอาการปวดยังคงมากอยู่ แม้จะดูแลตนเองในเบื้องต้นแล้ว
มีอาการในช่วงเวลากลางคืนบ่อยจนส่งผลต่อการนอนหลับพักผ่อนจนสุขภาพทรุดโทรม
อาการปวดส่งผลต่อการเดินทางหรือใช้ชีวิตประจำวัน เกิดร่วมกับอาการชา หรือเมื่อหายปวดแล้วกลับมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงขึ้นเรื่อยๆ
การป้องกัน
1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เป็นประจำทุกวัน โดยเพิ่มผักและผลไม้ในปริมาณมากเพราะอุดมไปด้วยเกลือแร่ที่จำเป็นแก่ร่างกาย
2. ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ6-8 แก้ว หากไม่มีโรคที่ต้องจำกัดปริมาณน้ำดื่ม
3. หาก เป็นตะคริวบ่อย ควรรับประทานอาหารที่มีเกลือแร่สำคัญเพิ่มขึ้น หรือเลือกรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เช่นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินบี เป็นองค์ประกอบหลัก
4. ออกกำลังกายด้วยการยืดกล้ามเนื้อทุกส่วนอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน โดยต้องวอร์มอัพก่อนออกกำลังกายและเล่นกีฬาใดๆเสมอ
5. สวมใส่รองเท้าให้เหมาะสมกับสรีระและลักษณะงานที่ทำ หากต้องสวมรองเท้าทั้งวันควรหาโอกาสถอดรองเท้าเพื่อผ่อนคลายและนวดเท้าเสมอ
6. ควบคุมหรือรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของการเกิดตะคริว หากเกิดจากยา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อเปลี่ยนยา หรือปรับขนาดยาให้เหมาะสม
7. งดหรือจำกัดการดื่มสุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ ไม่ให้เกินปริมาณ 1 ดริ๊งในผู้หญิงและ 2 ดริ๊งค์ในผู้ชายต่อวัน
Reference
1. ศาสตราจารย์เกียรคุณ แพทย์หญิงพวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้อเป็นตะคริว. โรคของกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ, 2554. หน้า 5-9.
2. นายแพทย์วีรศักดิ์ เมืองไพศาล.ทำไมเราจึงเป็นตะคริวและทำอย่างไรจะไม่เป็น.หนังสือพิมพ์ข่าวสด, 2552.
วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป
เครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป เป็นเครื่องดื่มชนิดผงที่มีส่วนประกอบหลักเป็นธัญญพืชหลายชนิด เช่น งาดำ ถั่วเหลือง ข้าวกล้องงอก นอกจากนี้อาจมีการเติมสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกาย เช่น โปรตีนจากถั่วเหลือง น้ำมันปลา วิตามินแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย จัดเป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่ช่วยให้การดำเนินชีวิตมีความสะดวกมากขึ้น เพราะเตรียมได้ง่ายเพียงเติมน้ำร้อนก็อร่อยได้ทันที สามารถดื่มได้ทุกที่ทุกเวลา เช่น เวลาที่เร่งรีบก่อนออกไปทำงาน หรือเรียนหนังสือ นอกจากนี้ยังสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่
สำหรับคุณค่าทางอาหารของทั้งธัญพืช และสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายนั้น พอจะกล่าวถึงประโยชน์ของแต่ละชนิดได้ดังนี้
งาดำ เป็นธัญพืชที่มีสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชน์ ดังนี้
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง มีงานวิจัยรองรับว่า สารเซซามินในน้ำมันงาสามารถลดความดันโลหิตในหนูทดลองที่เหนี่ยวนำให้เกิด ความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยให้รับประทานสารสกัดเซซามินจากงาดำ 60 มก. ต่อวัน เป็นระยะเวลาสี่สัปดาห์ พบว่าสามารถลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 2-3 มม. ปรอท จากระบาดวิทยาคลีนิก แม้จะลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยแค่นี้ก็ มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสมองและหัวใจ (อ้างอิงที่ 1-2)
- มีแคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆเช่น แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส และทองแดง (อ้างอิงที่ 3)
- มีสารเซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่จะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเปลี่ยนเป็นสาร Enterolactone และ Enterodiol ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคที่เกิดจากผลของฮอร์โมน (Hormone-Related Disease) เช่นมะเร็งเต้านม (อ้างอิงที่ 4-5) นอกจากนี้ Enterolactone ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Phytoestrogens โดยได้มีงานวิจัยโดยการให้รับประทานงาดำ 50 กรัม ในสตรีวัยหมดประจำเดือนเป็นเวลา 5 สัปดาห์ พบว่า มีส่วนเพิ่มการทำงานของฮอร์โมนเพศ และช่วยปรับสัดส่วนระดับ ของไขมันในเลือดโคเลสเตอรอล ทำให้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (อ้างอิงที่ 6)
- ใน USA. พบว่า งาดำ มีปริมาณ phytosterol สูงที่สุดในอาหารประเภท nuts & seeds พบว่าสูงถึง 400-413 mg/100g (อ้างอิง 7) ซึ่ง phytosterol ช่วย Cholesterol และ LDL-Cholesterol (อ้างอิง 8)
- มีงานวิจัยรองรับว่าการรับประทานงาดำ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก รวมถึงการลดการลร้างโคเลสเตอรอลที่ตับ (อ้างอิงที่ 9-11)
- มีงานวิจัยกล่าวถึงว่า Sesame lignan ช่วยเร่งการสลาย Alcohol ที่ตับได้ (อ้างอิงที่ 10) มีการทดลองในหนู พบว่าสารเซซามิน ซึ่งเป็น lignan ส่วนใหญ่ที่พบในเมล็ดงา สามารถช่วยป้องกันภาวะไขมันจุกตับที่เกิดจากการเหนี่ยวนำโดยแอลกอฮอล์ได้ (อ้างอิงที่ 12)
ข้าวกล้องหอมนิลงอก มีสาร GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ประโยชน์ของ GABA คือ
- จากการศึกษาในหนู พบว่า GABA ช่วยป้องกันการทำลายสมองจากสาร Beta-amyloid peptide ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Alzheimer
- ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง
- ช่วยรักษาสมดุลในสมอง ทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย
(อ้างอิงที่ 13)
ถั่วเหลือง (Soy) และโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง(Isolated Soy Protein)
เป็นแหล่งของโปรตีนซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงให้กรด อะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย (อ้างอิงที่ 14-15) นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังมีสาร Isoflavone เช่น genestein ซึ่งเป็น Phytoestrogen ชนิดหนึ่ง (อ้างอิงที่ 16) ซึ่ง Isoflavone นี้เองสามารถช่วยลดอาการต่างๆที่เกิดจากภาวะหมดประจำเดือนได้ เช่น อาการร้อนวูบวาบ (อ้างอิงที่ 17)
น้ำมันปลา (Fish Oil)
กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid; DHA) ในน้ำมันปลามีงานวิจัยรองรับมากมายว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยบำรุงสมอง ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (อ้างอิงที่ 18)
แร่ธาตุและวิตามินต่างๆ
แคลเซียม (Calcium)
เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน
มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด
วิตามิน ดี (Vitamin D) ช่วยดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส
เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 1 (Vitamin B 1)
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
วิตามินบี 2 (Vitamin B 2) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
วิตามินบี 6 (Vitamin B 6)
มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท
มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์
วิตามินบี 12 (Vitamin B 12)
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
(อ้างอิงที่ 14)
เอกสารอ้างอิง :
- งา. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 19(1): 2544
- Antihypertensive effects of sesamin in humans. J Nutr Sci Vitaminol (Tokyo). 2009 Feb;55(1):87-91.
- Seeds, sesame seeds, whole, dried. The USDA National Nutrient Database for Standard Reference. NUTRIENT DATA LABORATORY. http://www.nal.usda.gov/fnic/foodcomp/cgi-bin/list_nut_edit.pl
- Sesamin is one of the major precursors of mammalian lignans in sesame seed (Sesamum indicum) as observed in vitro and in rats. J Nutr. 2006 Apr;136(4):906-12.
- Whole sesame seed is as rich a source of mammalian lignan precursors as whole flaxseed. Nutr Cancer. 2005;52(2):156-65.
- Sesame ingestion affects sex hormones, antioxidant status, and blood lipids in postmenopausal women. J Nutr. 2006 May;136(5):1270-5.
- Phytosterol composition of nuts and seeds commonly consumed in the United States. J Agric Food Chem. 2005 Nov 30;53(24):9436-45.
- Serum sterol responses to increasing plant sterol intake from natural foods in the Mediterranean diet. Eur J Nutr. 2009 Sep;48(6):373-82. Epub 2009 May 3.
- Sesame as a hypocholesteraemic and antioxidant dietary component. Food Chem Toxicol. 2008 Jun;46(6):1889-95. Epub 2008 Jan 16.
- Comparative effects of flaxseed and sesame seed on vitamin E and cholesterol levels in rats. Lipids. 2003 Dec;38(12):1249-55.
- Nutraceutical functions of sesame: a review. Crit Rev Food Sci Nutr. 2007;47(7):651-73.
- Sesamin ingestion regulates the transcription levels of hepatic metabolizing enzymes for alcohol and lipids in rats. Alcohol Clin Exp Res. 2005 Nov;29(11 Suppl):116S-120S.
- GABA คืออะไร. ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. http://fic.ifrpd.ku.ac.th/fic/index.php/th/simplelist/152-gaba-rice.html
- ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข.
- Soy flour, full-fat, raw. The USDA National Nutrient Database for Standard Reference. NUTRIENT DATA LABORATORY. http://www.nal.usda.gov/fnic/foodcomp/cgi-bin/list_nut_edit.pl
- Phytoestrogens: the biochemistry, physiology, and implications for human health of soy isoflavones. Am J Clin Nutr. 1998 Dec;68(6 Suppl):1333S-1346S.
- Benefits of soy isoflavone therapeutic regimen on menopausal symptoms. Obstet Gynecol. 2002 Mar;99(3):389-94.
- Health benefits of docosahexaenoic acid (DHA). Pharmacol Res. 1999 Sep;40(3):211-25.
สำหรับคุณค่าทางอาหารของทั้งธัญพืช และสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่อร่างกายนั้น พอจะกล่าวถึงประโยชน์ของแต่ละชนิดได้ดังนี้
งาดำ เป็นธัญพืชที่มีสารอาหารหลายชนิดที่มีประโยชน์ ดังนี้
- ช่วยลดความดันโลหิตสูง มีงานวิจัยรองรับว่า สารเซซามินในน้ำมันงาสามารถลดความดันโลหิตในหนูทดลองที่เหนี่ยวนำให้เกิด ความดันโลหิตสูง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ทำในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยให้รับประทานสารสกัดเซซามินจากงาดำ 60 มก. ต่อวัน เป็นระยะเวลาสี่สัปดาห์ พบว่าสามารถลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย ประมาณ 2-3 มม. ปรอท จากระบาดวิทยาคลีนิก แม้จะลดความดันโลหิตได้เล็กน้อยแค่นี้ก็ มีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงของโรคทางสมองและหัวใจ (อ้างอิงที่ 1-2)
- มีแคลเซียม และแร่ธาตุอื่นๆเช่น แมกนีเซียม เหล็ก แมงกานีส และทองแดง (อ้างอิงที่ 3)
- มีสารเซซามิน (Sesamin) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นที่จะถูกจุลินทรีย์ในลำไส้เล็กเปลี่ยนเป็นสาร Enterolactone และ Enterodiol ที่มีคุณสมบัติในการป้องกันโรคที่เกิดจากผลของฮอร์โมน (Hormone-Related Disease) เช่นมะเร็งเต้านม (อ้างอิงที่ 4-5) นอกจากนี้ Enterolactone ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม Phytoestrogens โดยได้มีงานวิจัยโดยการให้รับประทานงาดำ 50 กรัม ในสตรีวัยหมดประจำเดือนเป็นเวลา 5 สัปดาห์ พบว่า มีส่วนเพิ่มการทำงานของฮอร์โมนเพศ และช่วยปรับสัดส่วนระดับ ของไขมันในเลือดโคเลสเตอรอล ทำให้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด (อ้างอิงที่ 6)
- ใน USA. พบว่า งาดำ มีปริมาณ phytosterol สูงที่สุดในอาหารประเภท nuts & seeds พบว่าสูงถึง 400-413 mg/100g (อ้างอิง 7) ซึ่ง phytosterol ช่วย Cholesterol และ LDL-Cholesterol (อ้างอิง 8)
- มีงานวิจัยรองรับว่าการรับประทานงาดำ ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการดูดซึมที่ลำไส้เล็ก รวมถึงการลดการลร้างโคเลสเตอรอลที่ตับ (อ้างอิงที่ 9-11)
- มีงานวิจัยกล่าวถึงว่า Sesame lignan ช่วยเร่งการสลาย Alcohol ที่ตับได้ (อ้างอิงที่ 10) มีการทดลองในหนู พบว่าสารเซซามิน ซึ่งเป็น lignan ส่วนใหญ่ที่พบในเมล็ดงา สามารถช่วยป้องกันภาวะไขมันจุกตับที่เกิดจากการเหนี่ยวนำโดยแอลกอฮอล์ได้ (อ้างอิงที่ 12)
ข้าวกล้องหอมนิลงอก มีสาร GABA (Gamma Amino Butyric Acid) ประโยชน์ของ GABA คือ
- จากการศึกษาในหนู พบว่า GABA ช่วยป้องกันการทำลายสมองจากสาร Beta-amyloid peptide ซึ่งเป็นสาเหตุของโรค Alzheimer
- ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลาง
- ช่วยรักษาสมดุลในสมอง ทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย และนอนหลับสบาย
(อ้างอิงที่ 13)
ถั่วเหลือง (Soy) และโปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง(Isolated Soy Protein)
เป็นแหล่งของโปรตีนซึ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโต และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมถึงให้กรด อะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างโปรตีนชนิดต่าง ๆ ในร่างกาย (อ้างอิงที่ 14-15) นอกจากนี้ถั่วเหลืองยังมีสาร Isoflavone เช่น genestein ซึ่งเป็น Phytoestrogen ชนิดหนึ่ง (อ้างอิงที่ 16) ซึ่ง Isoflavone นี้เองสามารถช่วยลดอาการต่างๆที่เกิดจากภาวะหมดประจำเดือนได้ เช่น อาการร้อนวูบวาบ (อ้างอิงที่ 17)
น้ำมันปลา (Fish Oil)
กรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก (Docosahexaenoic acid; DHA) ในน้ำมันปลามีงานวิจัยรองรับมากมายว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยบำรุงสมอง ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ลดการเกิดอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (อ้างอิงที่ 18)
แร่ธาตุและวิตามินต่างๆ
แคลเซียม (Calcium)
เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน
มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
มีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด
วิตามิน ดี (Vitamin D) ช่วยดูดซึมแคลเซียม และฟอสฟอรัส
เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบสำคัญของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง
วิตามินบี 1 (Vitamin B 1)
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต
วิตามินบี 2 (Vitamin B 2) ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน
วิตามินบี 6 (Vitamin B 6)
มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการทำงานของระบบประสาท
มีส่วนช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงให้สมบูรณ์
วิตามินบี 12 (Vitamin B 12)
มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบประสาทและสมอง
มีส่วนช่วยสร้างสารที่จำเป็นในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง
(อ้างอิงที่ 14)
เอกสารอ้างอิง :
- งา. จุลสารข้อมูลสมุนไพร 19(1): 2544
- Antihypertensive effects of sesamin in humans. J Nutr Sci Vitaminol (Tokyo). 2009 Feb;55(1):87-91.
- Seeds, sesame seeds, whole, dried. The USDA National Nutrient Database for Standard Reference. NUTRIENT DATA LABORATORY. http://www.nal.usda.gov/fnic/foodcomp/cgi-bin/list_nut_edit.pl
- Sesamin is one of the major precursors of mammalian lignans in sesame seed (Sesamum indicum) as observed in vitro and in rats. J Nutr. 2006 Apr;136(4):906-12.
- Whole sesame seed is as rich a source of mammalian lignan precursors as whole flaxseed. Nutr Cancer. 2005;52(2):156-65.
- Sesame ingestion affects sex hormones, antioxidant status, and blood lipids in postmenopausal women. J Nutr. 2006 May;136(5):1270-5.
- Phytosterol composition of nuts and seeds commonly consumed in the United States. J Agric Food Chem. 2005 Nov 30;53(24):9436-45.
- Serum sterol responses to increasing plant sterol intake from natural foods in the Mediterranean diet. Eur J Nutr. 2009 Sep;48(6):373-82. Epub 2009 May 3.
- Sesame as a hypocholesteraemic and antioxidant dietary component. Food Chem Toxicol. 2008 Jun;46(6):1889-95. Epub 2008 Jan 16.
- Comparative effects of flaxseed and sesame seed on vitamin E and cholesterol levels in rats. Lipids. 2003 Dec;38(12):1249-55.
- Nutraceutical functions of sesame: a review. Crit Rev Food Sci Nutr. 2007;47(7):651-73.
- Sesamin ingestion regulates the transcription levels of hepatic metabolizing enzymes for alcohol and lipids in rats. Alcohol Clin Exp Res. 2005 Nov;29(11 Suppl):116S-120S.
- GABA คืออะไร. ศูนย์สารนิเทศทางอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. http://fic.ifrpd.ku.ac.th/fic/index.php/th/simplelist/152-gaba-rice.html
- ประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง การแสดงข้อความกล่าวอ้างเกี่ยวกับหน้าที่ของสารอาหาร. คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข.
- Soy flour, full-fat, raw. The USDA National Nutrient Database for Standard Reference. NUTRIENT DATA LABORATORY. http://www.nal.usda.gov/fnic/foodcomp/cgi-bin/list_nut_edit.pl
- Phytoestrogens: the biochemistry, physiology, and implications for human health of soy isoflavones. Am J Clin Nutr. 1998 Dec;68(6 Suppl):1333S-1346S.
- Benefits of soy isoflavone therapeutic regimen on menopausal symptoms. Obstet Gynecol. 2002 Mar;99(3):389-94.
- Health benefits of docosahexaenoic acid (DHA). Pharmacol Res. 1999 Sep;40(3):211-25.
เรื่องน่ารู้ของโคลีน
ความสำคัญของโคลีนที่มีต่อเด็ก สรุปคุณสมบัติของโคลีน
1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่นความจำ และการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ
3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้มีไขมันสะสมในตับ และนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนังเซลล์ ( Structural integrity of cell membranes ) เมตาบอลิสมของเมธิล ( Methyl metabolism ) การส่งผ่านของกระแสประสาท ( Cholinergic neurotransmission ) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ ( Transmembrane signaling ) และ เมตาบอลิสม กับ การขนส่งของไขมันและโคเลสเตอรอล ( อ้างอิงที่ 1 )โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง ( อ้างอิงที่ 1 ) ดังนั้นโคลีนจึงมีผลต่อขบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการ รับรู้เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ โดยเฉพาะระบบความจำ ( อ้างอิงที่ 2 ) รวมถึงมีการศึกษาในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม ( Alzheimer’s disease ) ด้วย ( อ้างอิงที่ 3 )
บทบาทสำคัญอีกประการ หนึ่งของโคลีนคือ ทำให้ตับสามารถทำการขนถ่ายไขมันได้ ( Fat transportation ) และลดการสะสมไขมันในตับ ( Hepatic steastosis ) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ ( อ้างอิงที่ 4 ) การศึกษาวิจัยในคน ก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาดโคลีน ก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับ เช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และเมื่อได้รับ โคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของตับได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) สำหรับสัตว์ทดลองเช่นหนู สภาวะที่ตับมีไขมันสะสมนี้ ยังร่วมไปกับ เพิ่มอัตราการเป็น มะเร็งที่ตับได้ ( อ้างอิงที่ 6 ) ในทางกลับกัน เมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับ โคลีน เสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน ( อ้างอิงที่ 7 )
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โคลีน ยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ ด้วย ( อ้างอิงที่ 1 )
ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน ( Adequate Intake ) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ ส่วนในเด็กช่วงอายุ 1-18 ปี จะเป็นดังนี้
อายุ 1-3 ปี ( ชาย/หญิง ) 200 mg
อายุ 4-8 ปี ( ชาย/หญิง ) 250 mg
อายุ 9-13 ปี ( ชาย/หญิง ) 375 mg
อายุ 14-18 ปี ( ชาย ) 550 mg
อายุ 14-18 ปี ( หญิง ) 400 mg ( อ้างอิงที่ 1 )
และมีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทำให้ปริมาณโคลีนลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้ ( อ้างอิงที่ 8, 9)
เอกสารอ้างอิง
1. The National Academies Press, Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline, pages 390-422.
http://darwin.nap.edu/nap-cgi/skimit.cgi?recid=6015&chap=390-422
2. Verbal and visual memory improve after choline supplementation in long-term total parenteral nutrition : a pilot study. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Jan-Feb;25(1):30-5
3. Cognitive improvement in mild to moderate Alzheimer’s dementia after treatment with the acetylcholine precursor choline alfoscerate: a multicenter, double-blind, randomized, placebo-controlled trial. Clin Ther. 2003 Jan;25(1):178-93
4. Choline-deficiency fatty liver: impaired release of hepatic triglycerides. J Lipid Res. 1968 Jul;9(4):437-46
5. Lecithin increases plasma free choline and decreases hepatic steatosis in long-term total parenteral nutrition patients. Gastroenterology. 1992 Apr;102(4 Pt 1):1363-70
6. Accumulation of 1,2-sn-diradylglycerol with increased membrane-associated protein kinase C may be the mechanism for spontaneous hepatocarcinogenesis in choline-deficient rats. J Biol Chem. 1993 Jan25;268(3):2100-5
7. Inhibition of hepatocarcinogenesis in mice by dietary methyl donors methionine and choline. Nutr Cancer. 1990;14(3-4):175-81
8. Choline, an essential nutrient for humans. FASEB J. 1991 Apr;5(7):2093-8
9. Choline deficiency caused reversible hepatic abnormalities in patients receiving parenteral nutrition: proof of a human choline requirement: a placebo-controlled trial. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Sep-Oct;25(5):260-8
1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่นความจำ และการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ
3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้มีไขมันสะสมในตับ และนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับ โคลีน เป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนังเซลล์ ( Structural integrity of cell membranes ) เมตาบอลิสมของเมธิล ( Methyl metabolism ) การส่งผ่านของกระแสประสาท ( Cholinergic neurotransmission ) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ ( Transmembrane signaling ) และ เมตาบอลิสม กับ การขนส่งของไขมันและโคเลสเตอรอล ( อ้างอิงที่ 1 )โคลีนเป็นสารตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่นๆอีกหลายอย่าง ( อ้างอิงที่ 1 ) ดังนั้นโคลีนจึงมีผลต่อขบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการ รับรู้เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ โดยเฉพาะระบบความจำ ( อ้างอิงที่ 2 ) รวมถึงมีการศึกษาในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม ( Alzheimer’s disease ) ด้วย ( อ้างอิงที่ 3 )
บทบาทสำคัญอีกประการ หนึ่งของโคลีนคือ ทำให้ตับสามารถทำการขนถ่ายไขมันได้ ( Fat transportation ) และลดการสะสมไขมันในตับ ( Hepatic steastosis ) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ ( อ้างอิงที่ 4 ) การศึกษาวิจัยในคน ก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาดโคลีน ก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับ เช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และเมื่อได้รับ โคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของตับได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) สำหรับสัตว์ทดลองเช่นหนู สภาวะที่ตับมีไขมันสะสมนี้ ยังร่วมไปกับ เพิ่มอัตราการเป็น มะเร็งที่ตับได้ ( อ้างอิงที่ 6 ) ในทางกลับกัน เมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับ โคลีน เสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน ( อ้างอิงที่ 7 )
นอกจากประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โคลีน ยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ ด้วย ( อ้างอิงที่ 1 )
ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน ( Adequate Intake ) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ ส่วนในเด็กช่วงอายุ 1-18 ปี จะเป็นดังนี้
อายุ 1-3 ปี ( ชาย/หญิง ) 200 mg
อายุ 4-8 ปี ( ชาย/หญิง ) 250 mg
อายุ 9-13 ปี ( ชาย/หญิง ) 375 mg
อายุ 14-18 ปี ( ชาย ) 550 mg
อายุ 14-18 ปี ( หญิง ) 400 mg ( อ้างอิงที่ 1 )
และมีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทำให้ปริมาณโคลีนลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้ ( อ้างอิงที่ 8, 9)
เอกสารอ้างอิง
1. The National Academies Press, Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline, pages 390-422.
http://darwin.nap.edu/nap-cgi/skimit.cgi?recid=6015&chap=390-422
2. Verbal and visual memory improve after choline supplementation in long-term total parenteral nutrition : a pilot study. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Jan-Feb;25(1):30-5
3. Cognitive improvement in mild to moderate Alzheimer’s dementia after treatment with the acetylcholine precursor choline alfoscerate: a multicenter, double-blind, randomized, placebo-controlled trial. Clin Ther. 2003 Jan;25(1):178-93
4. Choline-deficiency fatty liver: impaired release of hepatic triglycerides. J Lipid Res. 1968 Jul;9(4):437-46
5. Lecithin increases plasma free choline and decreases hepatic steatosis in long-term total parenteral nutrition patients. Gastroenterology. 1992 Apr;102(4 Pt 1):1363-70
6. Accumulation of 1,2-sn-diradylglycerol with increased membrane-associated protein kinase C may be the mechanism for spontaneous hepatocarcinogenesis in choline-deficient rats. J Biol Chem. 1993 Jan25;268(3):2100-5
7. Inhibition of hepatocarcinogenesis in mice by dietary methyl donors methionine and choline. Nutr Cancer. 1990;14(3-4):175-81
8. Choline, an essential nutrient for humans. FASEB J. 1991 Apr;5(7):2093-8
9. Choline deficiency caused reversible hepatic abnormalities in patients receiving parenteral nutrition: proof of a human choline requirement: a placebo-controlled trial. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Sep-Oct;25(5):260-8
โคลีน และ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์
สรุปคุณสมบัติของโคลีน
1. เป็นสารอาหารที่จำเป็น และช่วยในการทำงานของระบบประสาท เช่น ความจำ และการทำงานของกล้ามเนื้อ
2. ช่วยในการขนส่งไขมันและโคเลสเตอรอล ช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ
3. ช่วยในการทำงานของตับให้เป็นปกติ การขาดโคลีนในสัตว์ทดลอง ทำให้มีไขมันสะสมในตับ และนำไปสู่การเป็นมะเร็งตับสรุปคุณสมบัติของ วิตามิน บี คอมเพล็กซ์
1. ช่วยในการทำงานของระบบประสาททั้งหมดในร่างกาย
2. ช่วยรักษาโรคที่เกิดจากการขาดวิตามินบี เช่น เหน็บชา เส้นประสาทอักเสบ ตากระตุก ปากนกกระจอก ผิวหนังหยาบ ผิวหนังอักเสบ ลิ้นอักเสบ และโลหิตจางจากการขาดวิตามินบี
โคลีนเป็นสารอาหารสำคัญตัวหนึ่งที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อความสมบูรณ์ของโครงสร้างของผนังเซลล์
( Structuralintegrity of cell membranes ) เมตาบอลิสมของเมธิล ( Methyl metabolism ) การส่งผ่านของกระแสประสาท
( Cholinergicneurotransmission ) การส่งสัญญาณผ่านผนังเซลล์ ( Transmembrane signaling ) และ เมตาบอลิสม กับ การขนส่งของไขมันและโคเลสเตอรอล ( อ้างอิงที่ 1 )
โคลีนเป็นสาร ตั้งต้นหลักในการสังเคราะห์สารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า อะเซททิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่ง Acetylcholine นี้เป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความจำ การควบคุมกล้ามเนื้อ และหน้าที่อื่น ๆ อีกหลายอย่าง ( อ้างอิงที่ 1 ) ดังนั้น โคลีนจึงมีผลต่อขบวนการส่งกระแสประสาทที่เกี่ยวข้องกับความจำและการรับรู้ เรียกได้ว่ามีบทบาทในพัฒนาการด้านการเรียนรู้ โดยเฉพาะระบบความจำ ( อ้างอิงที่ 2 ) รวมถึงมีการศึกษาในการใช้เพื่อป้องกันและรักษาโรคความจำเสื่อม ( Alzheimer’s disease ) ด้วย ( อ้างอิงที่ 3 )
บทบาทสำคัญอีกประการหนึ่ง ของโคลีนคือ ทำให้ตับสามารถทำการขนถ่ายไขมันได้ ( Fat transportation ) และลดการสะสมไขมันในตับ ( Hepatic steastosis ) การทดลองในหนูพบว่า หากขาดโคลีนก็จะเกิดการสะสมไขมันที่ตับ ( อ้างอิงที่ 4 ) การศึกษาวิจัยในคน ก็พบว่า ผู้ที่ได้รับอาหารทางเส้นเลือด และมีการขาดโคลีนก็จะเพิ่มไขมันสะสมในตับเช่นกัน และยังมีระดับเอนไซม์ของตับสูงขึ้น ซึ่งเป็นอาการของภาวะตับอักเสบอีกด้วย และเมื่อได้รับ โคลีนก็จะลดการสะสมไขมัน และลดการอักเสบของตับได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) สำหรับสัตว์ทดลอง เช่น หนู สภาวะที่ตับมีไขมันสะสมนี้ ยังร่วมไปกับ เพิ่มอัตราการเป็นมะเร็งที่ตับได้ ( อ้างอิงที่ 6 ) ในทางกลับกัน เมื่อหนูทดลองเหล่านี้ได้รับ โคลีน เสริม ก็ลดการเกิดมะเร็งในตับได้เช่นกัน ( อ้างอิงที่ 7 )
นอกจากประโยชน์ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว โคลีน ยังมีประโยชน์ในด้านช่วยป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือดและหลอดเลือดหัวใจ ด้วย ( อ้างอิงที่ 1 )
ปริมาณที่เพียงพอต่อร่างกายใน 1 วัน ( Adequate Intake ) สำหรับผู้ใหญ่ เพศชาย และ หญิง คือ 550 mg และ 425 mg ตามลำดับ ( อ้างอิงที่ 1 ) มีรายงานการวิจัยถึงผลกระทบของการขาดโคลีนในมนุษย์ว่าจะมีผลทำให้ปริมาณโคลี นลดลงและเกิดความเสียหายต่อตับได้ ( อ้างอิงที่ 8 , 9)
วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ คืออะไร
วิตามิน บี-คอมเพล็กซ์ หรือ วิตามินบีรวมเป็นกลุ่มของวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นประสาทและความ สมบูรณ์ของอวัยวะต่าง ๆ ช่วยบำรุงร่างกาย ผิวหนังและระบบประสาท วิตามินบีรวมประกอบด้วย วิตามินบี1 ( Thiamine ) , วิตามินบี 2 ( Riboflavin ) , วิตามินบี 3 ( Niacin ) , วิตามินบี 5 ( Pantothenic acid ) , วิตามินบี 6 ( Pyridoxin ) , วิตามินบี 12 ( Cyanocobalamin ) นอกจากนี้ยังมี กรดโฟลิค ( Folic acid ) โคลีน ( Choline ) อิโนซิทอล ( Inositol ) และ ไบโอติน ( Biotin ) อีกด้วย ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบีต่าง ๆ มีหน้าที่ดังต่อไปนี้
วิตามินบี1 ( Thiamine ) มีความสำคัญต่อเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรต
หากขาดจะทำให้เกิดโคเหน็บชา และจะแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ทางระบบประสาทจะมีอาการชาตามมือตามเท้า
ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ส่วนอาการทางสมองพบว่า เนื้อสมองจะถูกทำลาย ผู้ป่วยจะมีอาการความจำเสื่อม ซึมเศร้า กระสับกระส่าย ทางระบบหัวใจและหลอดเลือดพบว่า หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น หัวใจมีขนาดโตขึ้นและมีความผิดปกติของการบันทึกคลื่นหัวใจ ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบี2 ( Riboflavin ) มีความจำเป็นต่อการหายใจของเซลล์เมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน เป็น co-enzyme ในการเปลี่ยนวิตามินบี 6 และกรดโฟลิค ให้อยู่ในรูป active ทั้งยังทำหน้าที่รักษาสภาพของเยื่อบุผิวและ mucosa ให้เป็นปกติ
หากขาด จะมีอาการแสดงทางตา ริมฝีปากและผิวหนัง เริ่มแรกนั้นริมฝีปากจะอักเสบ แห้งและแตก มุมปากจะซีด แตก เรียกลักษณะดังกล่าวว่าปากนกกระจอก ( Angular stomatitis ) และเมื่อเป็นมากขึ้น จะมีอาการทางผิวหนัง ใบหน้ามีสะเก็ดมัน ๆ ต่อมาจะมีอาการอักเสบของตา ตาสู้แสงไม่ได้ คันตาและแสบลูกตา ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบี 3 ( Niacin ) มีบทบาทในกระบวนการ Glycolysis, Krebs cycle และการสังเคราะห์กรดไขมัน
หากขาด จะมีผลต่อระบบประสาท โดยมีผลต่อระบบประสาทส่วนปลาย ไขสันหลัง และสมอง เช่น ปลายประสาทอักเสบ ซึ่งอาจมีอาการคลุ้มคลั่ง ชักและหมดสติก่อนตาย รวมถึงยังมีผลต่อระบบผิวหนัง ทำให้มีลักษณะผิวหนังหยาบ เป็นจ้ำสีม่วงหรือเข้ม นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบทางเดินอาหาร เริ่มตั้งแต่มีร่องแตกที่บริเวณริมฝีปาก เยื่อบุลิ้นจะฝ่อ ลีบ มีอาการอักเสบของลำไส้เล็กและมีเลือดออก ท้องเดิน ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบี 5 ( Pantothenic acid ) มีความเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาชีวเคมีในร่างกายหลายอย่าง เช่น การเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต การสร้างกลูโคส การสังเคราะห์กรดไขมัน และเสตียรอยด์ฮอร์โมน
หากขาด อาจจะมีอาการปวดท้อง อาเจียนและเป็นตะคริว กล้ามเนื้ออ่อนตัวลง อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบี 6 ( Pyridoxine ) เป็น co-enzyme ที่จำเป็นต่อการผลิตสารสื่อประสาทหลายชนิด มีความสำคัญต่อปฏิกิริยาทั้งหมดในเมตาบอลิสมของกรดอะมิโน มีบทบาทในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง
หากขาด จะพบอาการโลหิตจาง อ่อนเพลีย เป็นแผลที่มุมปาก ริมฝีปากอักเสบ ชาปลายมือปลายเท้า ผิวหนังเป็นจ้ำ ๆ สีม่วง และมีอาการทางประสาท เช่น มีความคิดสับสน ซึมเศร้า และอาจจะเกิดอาการชักได้ ( อ้างอิงที่ 10 )
วิตามินบี 12 ( Cyanocobalamin ) มีบทบาทในเมตาบอลิสมของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน รวมถึงมีบทบาทในการเจริญ การแบ่งตัวของเซลล์ และการสังเคราะห์สารที่หุ้มเส้นประสาท
( myelin ) ด้วย
หากขาด จะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารเนื่องจากมีความสำคัญต่อการสร้างเซลล์ผิว โดยเฉพาะเยื่อบุทางเดินอาหาร เช่น ทำให้ลิ้นอักเสบ และมีการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุตลอดทางเดินอาหาร และเนื่องจากมีความสำคัญต่อการสร้างสารที่หุ้มเส้นประสาท ( myelin ) ดังนั้น ผู้ที่ขาดจะทำให้มีอาการทางประสาท เช่น ชาตามมือและเท้า เมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการสับสน ประสาทหลอนได้ รวมถึงมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโตอย่างปกติของเม็ดเลือดแดง หากร่างกายขาดวิตามินชนิดนี้ จะทำให้โลหิตจาง ( อ้างอิงที่ 10 )
เอกสารอ้างอิง
1. The National Academies Press, Dietary Reference Intakes for Thiamin, Riboflavin, Niacin, Vitamin B6, Folate, Vitamin B 12, Pantothenic acid, Biotin and Choline. 12 Choline, pages 390-422.
http://darwin.nap.edu/nap-cgi/skimit.cgi?recid=6015&chap=390-422
2. Verbal and visual memory improve after choline supplementation in long-term total parenteral nutrition : a pilot study. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Jan-Feb;25(1):30-5
3. Cognitive improvement in mild to moderate Alzheimer’s dementia after treatment with the acetylcholine precursor choline alfoscerate: a multicenter, double-blind, randomized, placebo-controlled trial. Clin Ther. 2003 Jan;25(1):178-93
4. Choline-deficiency fatty liver: impaired release of hepatic triglycerides. J Lipid Res. 1968 Jul;9(4):437-46
5. Lecithin increases plasma free choline and decreases hepatic steatosis in long-term total parenteral nutrition patients. Gastroenterology. 1992 Apr;102(4 Pt 1):1363-70
6. Accumulation of 1,2-sn-diradylglycerol with increased membrane-associated protein kinase C may be the mechanism for spontaneous hepatocarcinogenesis in choline-deficient rats. J Biol Chem. 1993 Jan25;268(3):2100-5
7. Inhibition of hepatocarcinogenesis in mice by dietary methyl donors methionine and choline. Nutr Cancer. 1990;14(3-4):175-81
8. Choline, an essential nutrient for humans. FASEB J. 1991 Apr;5(7):2093-8
9. Choline deficiency caused reversible hepatic abnormalities in patients receiving parenteral nutrition: proof of a human choline requirement: a placebo-controlled trial. JPEN J Parenter Enteral Nutr. 2001 Sep-Oct;25(5):260-8
10. เครือข่ายวิชาการผลิตภัณฑ์สุขภาพ เรื่อง วิตามิน วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี6 และวิตามินบี 12. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 2547
โภชนาการและสารอาหารเพื่อการออกกำลังกาย
ครีเอทีน ( Creatine )
ให้พลังงานแก่กล้ามเนื้อและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ( muscle mass ) และความทนทานในการออกกำลังกาย ( Endurance ) Creatine เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ หน้าที่สร้างพลังงานให้กับเซลล์ มีงานวิจัยในผู้ที่ออกกำลังกายและรับประทานอย่างต่อเนื่องพบว่า สามารถเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ และกำลังของกล้ามเนื้อได้จริง และทำให้กล้ามเนื้อออกกำลังได้ยาวนาน ( อ้างอิงที่ 1 ) ยังมีงานวิจัยในอาสาสมัคร ทั้งหญิงและชายอย่างละ 15 คน โดยทานปริมาณมาก ถึง 20 กรัมต่อวัน เพียง 5 วัน ก็พบว่ามีกล้ามเนื้อใหญ่ขึ้น ( เพิ่ม fat free muscle mass ) ( อ้างอิงที่ 2 ) ปัจจุบัน Creatine เป็นที่นิยมแพร่หลายในกลุ่มนักกีฬา เป็นที่ยอมรับในความปลอดภัย เพราะมีงานวิจัยที่รับประทาน ครีเอทีน เสริมเป็นระยะเวลายาวนาน พบว่ามีความปลอดภัย แม้จะทานต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 4 ปี ( อ้างอิงที่ 3 )
ขนาดรับประทาน
ในกลุ่มนักกีฬา สำหรับผู้ชาย ขนาดที่แนะนำคือทานวันละ 3-5 กรัม โดยอาจทานครั้งเดียวก่อนออกกำลังกาย ประมาณ 30 นาที ถึง 1 ชั่วโมง หรือสามารถแบ่งทานก่อนออกกำลังกาย ประมาณ 2-3 กรัม และหลังออกกำลังกาย 60 นาที อีก ประมาณ 1-2 กรัมก็ได้ สำหรับสุภาพสตรี อาจลดลงครึ่งหนึ่งของสุภาพบุรุษ ขนาดรับประทานทั้งหมดสามารถปรับขนาดให้น้อยกว่านี้หรือมากกว่านี้เล็กน้อย ได้ ในสุภาพบุรุษที่เล่นกล้ามเพาะกาย มักจะทาน ถึง 20 กรัมต่อวัน ถ้าจะทานเป็นระยะเวลานาน แนะนำให้รับประทาน ไม่เกินวันละ 5 กรัม
ผลข้างเคียง
ผลข้างเคียงที่มีรายงานพบได้แต่น้อยมากคือ อาการท้องเสีย และอาการตะคริว สำหรับเรื่องของตะคริว อาจจะเกิดจากการออกกำลังกายที่หักโหมเกินไป หรือมีภาวะขาดแคลเซียมร่วมด้วย
ข้อห้าม
ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตทุกชนิด แต่ในคนปกติ จะไม่มีผลเสียใด ๆ ทั้งสิ้นต่อไต แม้จะทานเป็นระยะเวลานาน ( อ้างอิงที่ 4 ) นอกจากนี้ก็ไม่แนะนำในผู้ป่วยที่เป็น โรคหัวใจ เด็กและสตรีมีครรภ์
บรานช์-เชน อะมิโนแอซิด
( Branched-chain amino acid ; BCAAs )
Branched-chain amino acid คือกรดอะมิโนจำเป็น ชนิดที่ร่างกายไม่สามารถสร้างได้เอง มีอยู่ด้วยกันสามตัว คือ ลิวซีน ( leucine ), ไอโซลิวซีน ( isoleucine ) และ วาลีน ( valine ) กรดอะมิโน จะเป็นองค์ประกอบของโปรตีนในกล้ามเนื้อ แต่ที่พิเศษคือ Branched-chain amino acid เป็นกรดอะมิโนที่สามารถเผาผลาญได้โดยตรง ในเซลล์ของกล้ามเนื้อ ในขณะออกกำลังกาย ร่างกายจะสามารถใช้ BCAAs เป็นแหล่งพลังงาน เป็นผลให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ช่วยให้ออกกำลังได้นานขึ้น ไม่อ่อนล้า ( อ้างอิงที่ 5-7 ) เป็นที่นิยมใช้ในอาหารเสริมประเภทเสริมกล้ามเนื้อเป็นอย่างมาก
เวย์โปรตีน คอนเซนเทรท
Whey Protein Concentrate
เป็นโปรตีนสกัดเข้มข้นจากหางนม (whey protein) หางนมนี้จะมีโปรตีนเข้มข้นมากกว่าใน ไข่ ในนมถั่วเหลือง และเนื้อสัตว์ นอกจากจะมี กรดอะมิโน จำเป็นทั้ง 8 ชนิดที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ แล้วยังมี Branched-chain amino acid จำนวนมากอีกด้วย และมีกรด อะมิโน glutamine ซึ่งจะช่วยเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนและไกลโคเจน เพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ กระตุ้นระดับของ growth hormone และเพิ่มภูมิคุ้มกัน
มีการวิจัยว่า การรับประทาน โปรตีนจากหางนม Whey Protein ตามหลังการออกกำลังกายจะเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อ ( อ้างอิงที่ 8 )และ เมื่อให้โปรตีนจากหางนม ร่วมกับ Creatine จะพบว่ามีการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ ( วัดจาก lean body mass ) มากกว่าให้แต่โปรตีนอย่างเดียว ( อ้างอิงที่ 9 ) โปรตีนจากหางนมยังมีสารสำคัญอีกมากมายเช่น lactoferrin, beta-lactoglobulin, alpha-lactalbumin, glycomacropeptide และ immunoglobulins ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยส่งเสริมระบบ ภูมิต้านทานของร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ มีงานวิจัย ในการช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บอีกจำนวนมาก เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ไวรัสตับอักเสบบี และโรคกระดูกพรุน ( อ้างอิงที่ 10 )
แอล-คาร์นิทีน ( L- Carnitine )
เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นได้เอง มีประโยชน์ในการช่วยในการเผาผลาญกรดไขมัน เป็นตัวนำกรดไขมันชนิด long chain เข้ามาสู่ ไมโตคอนเดรียของเซลล์กล้ามเนื้อ มาสร้างเป็นพลังงานในกล้ามเนื้อ ( อ้างอิงที่ 11 ) นั่นคือทำให้กล้ามเนื้อสามารถใช้พลังงานโดยการสลายไขมันได้ เป็นที่นิยมใช้ในนักกีฬาจำนวนมาก ปัจจุบัน มีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า สามารถช่วยในเรื่องของความอ่อนล้าของกล้ามเนื้อจากการออกกำลังกาย โดยสามารถลดเวลาพักฟื้นของกล้ามเนื้อหลังจากการออกกำลังกาย ( อ้างอิงที่ 12 )
เอกสารอ้างอิง
1. Long-term creatine intake is beneficial to muscle performance during resistance training. J Appl Physiol. 1997 Dec;83(6):2055-63.
2. Acute creatine loading increases fat-free mass, but does not affect blood pressure, plasma creatinine, or CK activity in men and women. Med Sci Sports Exerc. 2000 Feb;32(2):291-6.
3. Creatine supplementation and health variables: a retrospective study. Med Sci Sports Exerc. 2001 Feb;33(2):183-8.
4. Long-term creatine supplementation does not significantly affect clinical markers of health in athletes Mol Cell Biochem. 2003 Feb;244(1-2):95-104.
5. Influence of ingesting a solution of branched-chain amino acids on perceived exertion during exercise. : Acta Physiol Scand. 1997 Jan;159(1):41-9
6. Branched-chain amino acids prolong exercise during heat stress in men and women. Med Sci Sports Exerc. 1998 Jan;30(1):83-91
7. Stimulation of muscle ammonia production during exercise following branched-chain amino acid supplementation in humans. J Physiol. 1996 Jun 15;493 ( Pt 3):909-22
8. Ingestion of casein and whey proteins result in muscle anabolism after resistance exercise. Med Sci Sports Exerc. 2004 Dec;36(12):2073-81.
9. The effect of whey protein supplementation with and without creatine monohydrate combined with resistance training on lean tissue mass and muscle strength. Int J Sport Nutr Exerc Metab. 2001 Sep;11(3):349-64.
10. Therapeutic applications of whey protein. Altern Med Rev. 2004 Jun;9(2):136-56
11. Carnitine and physical exercise. Sports Med. 1996 Aug;22(2):109-32.
12. L-Carnitine L-tartrate supplementation favorably affects markers of recovery from exercise stress. Am J Physiol Endocrinol Metab. 2002 Feb;282(2):E474-82
เรื่องน่ารู้ของขมิ้นชัน
ขมิ้นชัน เป็นพืชสมุนไพรชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เนื่องจากมีคุณประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์กล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
1. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร โดยช่วยลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้เรื้อรัง
2. มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และ สมอง โดยช่วยในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันเซลล์สมองตายจากการขาดเลือด
3. มีประโยชน์ในด้านการช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิตขาว มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และอาจลดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
4. มีประโยชน์ในด้านช่วยบำรุงสมอง และอาจช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
5. ช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย
ขมิ้นชัน มี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn., Curcuma domestica Valeton. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง
ขมิ้นเมื่อใช้ภายนอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้หลายชนิด แต่บทความนี้จะกล่าวเฉพาะ ประโยชน์ของขมิ้นที่ใช้รับประทานเท่านั้น
ประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์
ระบบทางเดินอาหาร
ช่วยท้องอืดเฟ้อ ลดแผลในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการปวดมดลูก ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ขมิ้น ชันช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อด้วยการขับลม ( อ้างอิงที่ 1 ) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ( อ้างอิงที่ 2, 3 ) และฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 4, 5 ) จากผลทั้งหมดดังกล่าว ขมิ้นจึงมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้ และช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อและช่วยย่อยอาหาร
ระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจและสมอง
เคอร์ คิวมินในขมิ้น มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงพอ และมีงานวิจัยในหนูทดลอง ว่าลดการเกิดปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดได้จริง โดยการวิจัยได้ทดลองผูกเส้นเลือดหัวใจ ให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย กลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คิวมิน จะมีปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ( อ้างอิงที่ 6 )
ใน ทำนองเดียวกัน เคอร์คิวมินในขมิ้น มีผลในการป้องกัน เซลล์สมองตายจากการขาดเลือด ได้ จากกลไกการต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการแข็งตัวของเกร็ดดเลือด ( อ้างอิงที่ 7 )
ขมิ้นช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด
ปัจจุบัน นี้ ขมิ้นได้รับการวิจัยมากขึ้น และพบว่า สามารถให้เสริมกับยาต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยกัน ทำลายเซลล์มะเร็งโดยกลไกอื่น ๆ อีกเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากยาต้านมะเร็ง ( อ้างอิงที่ 8 ) และขมิ้นยังได้รับคำแนะนำว่า น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งได้มาก เพราะมีกลไกป้องกันมะเร็ง โดยออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ ระยะหนึ่งและสอง
( Phase I and II carcinogen-metabolizing enzymes ) ในการทำงานก่อมะเร็งของสารเหนี่ยวนำมะเร็งอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 9 )
เคอร์ คิวมินในขมิ้น มีฤทธิ์ยับยั้ง และทำลายเซลล์มะเร็งของมนุษย์ได้หลายชนิด เช่น เซลล์มะเร็งตับ เซลล์มะเร็งเม็ดโลหิตขาว T cell Leukemia เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ Bladder cancer cell เซลล์มะเร็งปอด ชนิด non small cell Carcinoma ทำให้มีการเสนอแนะว่า ขมิ้นชัน น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งปอดในผู้ที่สูบบุหรี่ เซลล์มะเร็ง ผิวหนัง ( melanoma ) เซลล์มะเร็งต่อมนำเหลือง Non-Hodgkin's lymphoma. เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Human colon adenocarcinoma ) เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์มะเร็งเต้านม และเนื่องจากขมิ้นยับยั้ง ไวรัสหูด HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก ทำให้อาจจะมีที่ใช้ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ( อ้างอิงที่ 10-20 )
ขมิ้นบำรุงสมอง อาจจะช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
ปัจจุบัน มีการค้นพบว่า โรคอัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ และกลไกของการต้านอนุมูลอิสระ อาจมีบทบาทในการป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ซึ่งตอนนี้ ได้มีงานวิจัย ที่บอกว่า ขมิ้นก็เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่น่าจะมีบทบาทในการป้องกันโรคนี้ ( อ้างอิงที่ 21 )
ขมิ้นช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย
สารสกัด เคอร์คิวมิน ในขมิ้น มีประสิทธิภาพที่ค้นพบทางการแพทย์เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น พบคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อมาเลเรีย P Falciparum ทำให้ปัจจุบันมีการพัฒนาเพิ่มเติมที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาหรือป้องกัน มาเลเรีย (อ้างอิงที่ 22) การทดลองในหนูพบว่า หนูที่ได้รับประทานเคอร์คิวมิน สารสกัดจากขมิ้น สามารถลดปริมาณ เชื้อมาเลเรีย ( P Falciparum ) ได้ 80 - 90% ( อ้างอิงที่ 23 )
โดยสรุป ขมิ้นชันจึงจัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์กว้างขวาง ปลอดภัยเพราะเป็นพืชผักสวนครัว และมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมาก เนื่องจากขมิ้นช่วยขับน้ำดี จึงมีข้อแนะนำไม่รับประทานในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในท่อน้ำดี
ปัจจุบัน นี้งานวิจัยของขมิ้นชันยังมีตลอดเวลา โดยมีแนวโน้มที่จะนำสารสกัดมาศึกษาเพิ่มเติม จึงเป็นสมุนไพรไทยที่น่าภูมิใจและน่าใช้สำหรับคนไทย อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากขมิ้นชันควรเลือกจากผู้ผลิตที่ ได้รับการรับรองหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ( Good Manufacturing Practice หรือ GMP ) เป็นอย่างน้อย รวมถึงมีการควบคุมคุณภาพของขมิ้นชันให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันนั้นมีค่าสารสำคัญคือ เคอร์คิวมิน ตามมาตรฐานกำหนด มีความปลอดภัย
เอกสารอ้างอิง
1. An introduction to phytopharmacy. London: Pithman MedicalPublishing Co. Ltd., 1977, p. 158-176.
2. Effect of indigenous remedies on the healing of woundsand ulcers. JIMA. 1953; 22(7): 273-6.
3. Pharmacological study of Curcuma longa. Symposium of the Department of Medicinal Science, Bangkok Thailand. Dec 3-4, 1990.
4. Antithepatotoxic activity of crude drugs. Yakugaku Zasshi 1985; 105(2): 109-18.
5. Antithepatotoxic principles of Curcuma longa rhizomes. Planta Med 1983; 49: 185-7.
6. Protective effect of curcumin on myocardial ischemia reperfusion injury in rats Zhong Yao Cai. 2005 Oct;28(10):920-2.
7. Neuroprotective mechanisms of curcumin against cerebral ischemia-induced neuronal apoptosis and behavioral deficits. J Neurosci Res. 2005 Oct 1;82(1):138-48.
8. Potential synergism of natural products in the treatment of cancer. Phytother Res. 2006 Apr;20(4):239-49.
9. Chemopreventive properties of curcumin. Future Oncol. 2005 Jun;1(3):405-14.
10. Effects of curcumin on proliferation and apoptosis in human hepatic cells. Zhonghua Gan Zang Bing Za Zhi. 2002 Dec;10(6):449-51.
11. Curcumin (diferuloylmethane) inhibits constitutive active NF-kappaB, leading to suppression of cell growth of human T-cell leukemia virus type I-infected T-cell lines and primary adult T-cell leukemia cells. Int J Cancer. 2006 Feb 1;118(3):765-72
12. The effect of curcumin on bladder cancer cell line EJ in vitro. Zhong Yao Cai. 2004 Nov;27(11):848-50.
13. Preventive role of curcumin in lung cancer Przegl Lek. 2005;62(10):1180-1.
14. Apoptosis induced by curcumin and its effect on c-myc and caspase-3 expressions in human melanoma A375 cell line. Di Yi Jun Yi Da Xue Xue Bao. 2005
15. Anticancer effect of curcumin on human B cell non-Hodgkin's lymphoma. J Huazhong Univ Sci Technolog Med Sci. 2005;25(4):404-7.
16. Curcumin induces human HT-29 colon adenocarcinoma cell apoptosis by activating p53 and regulating apoptosis-related protein expression. Braz J Med Biol Res. 2005 Dec;38(12):1791-8. Epub 2005 Nov 9.
17. Curcumin-induced apoptosis in androgen-dependent prostate cancer cell line LNCaP in vitro. Zhonghua Nan Ke Xue. 2006 Feb;12(2):141-4.
18. Antiproliferation and apoptosis induced by curcumin in human ovarian cancer cells. Cell Biol Int. 2006 Mar;30(3):221-6. Epub 2005 Dec 22.
19. Antiproliferative effect of curcumin (diferuloylmethane) against human breast tumor cell lines.Anticancer Drugs. 1997 Jun;8(5):470-81.
20. Constitutive activation of transcription factor AP-1 in cervical cancer and suppression of human papillomavirus (HPV) transcription and AP-1 activity in HeLa cells by curcumin. Int J Cancer. 2005 Mar 1;113(6):951-60
21. A review of antioxidants and Alzheimer's disease. Ann Clin Psychiatry. 2005 Oct-Dec;17(4):269-86.
22. Curcumin for malaria therapy . Antimicrob Agents Chemother. 2006 May;50(5):1859-60..
23. Curcumin for malaria therapy. Biochem Biophys Res Commun. 2005 Jan 14;326(2):472-4.
1. มีประโยชน์ต่อระบบทางเดินอาหาร โดยช่วยลดท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้เรื้อรัง
2. มีประโยชน์ต่อระบบหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ และ สมอง โดยช่วยในเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดการตายของกล้ามเนื้อหัวใจและป้องกันเซลล์สมองตายจากการขาดเลือด
3. มีประโยชน์ในด้านการช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเม็ดโลหิตขาว มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ และอาจลดมะเร็งปากมดลูกอีกด้วย
4. มีประโยชน์ในด้านช่วยบำรุงสมอง และอาจช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
5. ช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย
ขมิ้นชัน มี ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa Linn., Curcuma domestica Valeton. ชื่อวงศ์ Zingiberaceae ชื่อท้องถิ่น ขมิ้นแกง, ขมิ้นชัน, ขมิ้นหยวก, ขมิ้นหัว, ขี้มิ้น, ยากยอ, สะยอ, หมิ้น ส่วนที่ใช้คือ เหง้าสดและแห้ง
ขมิ้นเมื่อใช้ภายนอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้หลายชนิด แต่บทความนี้จะกล่าวเฉพาะ ประโยชน์ของขมิ้นที่ใช้รับประทานเท่านั้น
ประโยชน์และงานวิจัยทางด้านการแพทย์
ระบบทางเดินอาหาร
ช่วยท้องอืดเฟ้อ ลดแผลในกระเพาะ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงตับ ลดการปวดมดลูก ลดการเจ็บป่วยจากโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
ขมิ้น ชันช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อด้วยการขับลม ( อ้างอิงที่ 1 ) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ( อ้างอิงที่ 2, 3 ) และฤทธิ์ป้องกันตับอักเสบจากสารพิษอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 4, 5 ) จากผลทั้งหมดดังกล่าว ขมิ้นจึงมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้ และช่วยแก้ท้องอืดเฟ้อและช่วยย่อยอาหาร
ระบบหัวใจและหลอดเลือดหัวใจและสมอง
เคอร์ คิวมินในขมิ้น มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากเพียงพอ และมีงานวิจัยในหนูทดลอง ว่าลดการเกิดปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดได้จริง โดยการวิจัยได้ทดลองผูกเส้นเลือดหัวใจ ให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย กลุ่มที่ได้รับสารเคอร์คิวมิน จะมีปริมาณกล้ามเนื้อหัวใจตายน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ( อ้างอิงที่ 6 )
ใน ทำนองเดียวกัน เคอร์คิวมินในขมิ้น มีผลในการป้องกัน เซลล์สมองตายจากการขาดเลือด ได้ จากกลไกการต้านอนุมูลอิสระ ไม่ได้เกี่ยวข้องใด ๆ กับการแข็งตัวของเกร็ดดเลือด ( อ้างอิงที่ 7 )
ขมิ้นช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งหลายชนิด
ปัจจุบัน นี้ ขมิ้นได้รับการวิจัยมากขึ้น และพบว่า สามารถให้เสริมกับยาต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี เพราะช่วยกัน ทำลายเซลล์มะเร็งโดยกลไกอื่น ๆ อีกเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากยาต้านมะเร็ง ( อ้างอิงที่ 8 ) และขมิ้นยังได้รับคำแนะนำว่า น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งได้มาก เพราะมีกลไกป้องกันมะเร็ง โดยออกฤทธิ์ที่เอนไซม์ ระยะหนึ่งและสอง
( Phase I and II carcinogen-metabolizing enzymes ) ในการทำงานก่อมะเร็งของสารเหนี่ยวนำมะเร็งอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 9 )
เคอร์ คิวมินในขมิ้น มีฤทธิ์ยับยั้ง และทำลายเซลล์มะเร็งของมนุษย์ได้หลายชนิด เช่น เซลล์มะเร็งตับ เซลล์มะเร็งเม็ดโลหิตขาว T cell Leukemia เซลล์มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ Bladder cancer cell เซลล์มะเร็งปอด ชนิด non small cell Carcinoma ทำให้มีการเสนอแนะว่า ขมิ้นชัน น่าจะมีบทบาทในการป้องกันมะเร็งปอดในผู้ที่สูบบุหรี่ เซลล์มะเร็ง ผิวหนัง ( melanoma ) เซลล์มะเร็งต่อมนำเหลือง Non-Hodgkin's lymphoma. เซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Human colon adenocarcinoma ) เซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก เซลล์มะเร็งรังไข่ เซลล์มะเร็งเต้านม และเนื่องจากขมิ้นยับยั้ง ไวรัสหูด HPV ซึ่งเป็นสาเหตุหลักและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งปากมดลูก ทำให้อาจจะมีที่ใช้ในการป้องกันมะเร็งปากมดลูก ( อ้างอิงที่ 10-20 )
ขมิ้นบำรุงสมอง อาจจะช่วยเรื่องอัลไซเมอร์
ปัจจุบัน มีการค้นพบว่า โรคอัลไซเมอร์ หรือสมองเสื่อม มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมากในกลุ่มที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ และกลไกของการต้านอนุมูลอิสระ อาจมีบทบาทในการป้องกันการเกิดโรคนี้ได้ ซึ่งตอนนี้ ได้มีงานวิจัย ที่บอกว่า ขมิ้นก็เป็นหนึ่งในสมุนไพรที่น่าจะมีบทบาทในการป้องกันโรคนี้ ( อ้างอิงที่ 21 )
ขมิ้นช่วยฆ่าเชื้อมาเลเรีย
สารสกัด เคอร์คิวมิน ในขมิ้น มีประสิทธิภาพที่ค้นพบทางการแพทย์เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง เช่น พบคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อมาเลเรีย P Falciparum ทำให้ปัจจุบันมีการพัฒนาเพิ่มเติมที่จะนำมาใช้เป็นยารักษาหรือป้องกัน มาเลเรีย (อ้างอิงที่ 22) การทดลองในหนูพบว่า หนูที่ได้รับประทานเคอร์คิวมิน สารสกัดจากขมิ้น สามารถลดปริมาณ เชื้อมาเลเรีย ( P Falciparum ) ได้ 80 - 90% ( อ้างอิงที่ 23 )
โดยสรุป ขมิ้นชันจึงจัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์กว้างขวาง ปลอดภัยเพราะเป็นพืชผักสวนครัว และมีงานวิจัยทางการแพทย์รองรับมาก เนื่องจากขมิ้นช่วยขับน้ำดี จึงมีข้อแนะนำไม่รับประทานในผู้ป่วยที่เป็นนิ่วในท่อน้ำดี
ปัจจุบัน นี้งานวิจัยของขมิ้นชันยังมีตลอดเวลา โดยมีแนวโน้มที่จะนำสารสกัดมาศึกษาเพิ่มเติม จึงเป็นสมุนไพรไทยที่น่าภูมิใจและน่าใช้สำหรับคนไทย อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพจากขมิ้นชันควรเลือกจากผู้ผลิตที่ ได้รับการรับรองหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิต ( Good Manufacturing Practice หรือ GMP ) เป็นอย่างน้อย รวมถึงมีการควบคุมคุณภาพของขมิ้นชันให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ขมิ้นชันนั้นมีค่าสารสำคัญคือ เคอร์คิวมิน ตามมาตรฐานกำหนด มีความปลอดภัย
เอกสารอ้างอิง
1. An introduction to phytopharmacy. London: Pithman MedicalPublishing Co. Ltd., 1977, p. 158-176.
2. Effect of indigenous remedies on the healing of woundsand ulcers. JIMA. 1953; 22(7): 273-6.
3. Pharmacological study of Curcuma longa. Symposium of the Department of Medicinal Science, Bangkok Thailand. Dec 3-4, 1990.
4. Antithepatotoxic activity of crude drugs. Yakugaku Zasshi 1985; 105(2): 109-18.
5. Antithepatotoxic principles of Curcuma longa rhizomes. Planta Med 1983; 49: 185-7.
6. Protective effect of curcumin on myocardial ischemia reperfusion injury in rats Zhong Yao Cai. 2005 Oct;28(10):920-2.
7. Neuroprotective mechanisms of curcumin against cerebral ischemia-induced neuronal apoptosis and behavioral deficits. J Neurosci Res. 2005 Oct 1;82(1):138-48.
8. Potential synergism of natural products in the treatment of cancer. Phytother Res. 2006 Apr;20(4):239-49.
9. Chemopreventive properties of curcumin. Future Oncol. 2005 Jun;1(3):405-14.
10. Effects of curcumin on proliferation and apoptosis in human hepatic cells. Zhonghua Gan Zang Bing Za Zhi. 2002 Dec;10(6):449-51.
11. Curcumin (diferuloylmethane) inhibits constitutive active NF-kappaB, leading to suppression of cell growth of human T-cell leukemia virus type I-infected T-cell lines and primary adult T-cell leukemia cells. Int J Cancer. 2006 Feb 1;118(3):765-72
12. The effect of curcumin on bladder cancer cell line EJ in vitro. Zhong Yao Cai. 2004 Nov;27(11):848-50.
13. Preventive role of curcumin in lung cancer Przegl Lek. 2005;62(10):1180-1.
14. Apoptosis induced by curcumin and its effect on c-myc and caspase-3 expressions in human melanoma A375 cell line. Di Yi Jun Yi Da Xue Xue Bao. 2005
15. Anticancer effect of curcumin on human B cell non-Hodgkin's lymphoma. J Huazhong Univ Sci Technolog Med Sci. 2005;25(4):404-7.
16. Curcumin induces human HT-29 colon adenocarcinoma cell apoptosis by activating p53 and regulating apoptosis-related protein expression. Braz J Med Biol Res. 2005 Dec;38(12):1791-8. Epub 2005 Nov 9.
17. Curcumin-induced apoptosis in androgen-dependent prostate cancer cell line LNCaP in vitro. Zhonghua Nan Ke Xue. 2006 Feb;12(2):141-4.
18. Antiproliferation and apoptosis induced by curcumin in human ovarian cancer cells. Cell Biol Int. 2006 Mar;30(3):221-6. Epub 2005 Dec 22.
19. Antiproliferative effect of curcumin (diferuloylmethane) against human breast tumor cell lines.Anticancer Drugs. 1997 Jun;8(5):470-81.
20. Constitutive activation of transcription factor AP-1 in cervical cancer and suppression of human papillomavirus (HPV) transcription and AP-1 activity in HeLa cells by curcumin. Int J Cancer. 2005 Mar 1;113(6):951-60
21. A review of antioxidants and Alzheimer's disease. Ann Clin Psychiatry. 2005 Oct-Dec;17(4):269-86.
22. Curcumin for malaria therapy . Antimicrob Agents Chemother. 2006 May;50(5):1859-60..
23. Curcumin for malaria therapy. Biochem Biophys Res Commun. 2005 Jan 14;326(2):472-4.
เรื่องน่ารู้ของไฟโตนิวเทรียนท์
ไฟโตนิวเทรียนท์ ( Phytonutrient ) สารธรรมชาติจากผักและผลไม้ที่เป็นสารสำคัญ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายหลายประการ
อาหารประเภทผัก ผลไม้ เป็นอาหารธรรมชาติที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า Phytonutrient ( ไฟโตนิวเทรียนท์ ) มากมายหลายชนิด ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นสารธรรมชาติ ในผักผลไม้ที่เป็นสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย หลายประการ ทั้งนี้ด้วยกลไกที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) จากธรรมชาติ อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลที่มีธาตุที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาด อิเลกตรอน ไป 1ตัว อนุมูลอิสระ ถือเป็นสารพิษที่สำคัญต่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ถ้ามีมากในเซลล์ก็เป็นอันตรายได้ โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และองค์ประกอบอื่นๆของเซลล์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น หรือมีผลในระยะยาวโดยเป็นสาเหตุของ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคทางภูมิคุ้มกันและโรคเรื้อรังอีกหลายชนิดอนุมูลอิสระ มีที่มาทั้งแหล่งภายนอกและภายในร่างกาย อนุมูลอิสระที่มาจากภายนอก
ได้แก่ มลพิษในอากาศ ฝุ่น ควันบุหรี่ แสงแดด ความร้อน รังสีบางชนิด ยาบางชนิด จากแหล่งภายในร่างกาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเสียในขบวนการเมตาโบลิสม ของเซลล์ เมื่อเกิดอนุมูลอิสระแล้ว ร่างกายก็มีกลไกที่จะกำจัด อนุมูลอิสระ เหล่านี้โดยใช้เอนไซม์ต่าง ๆ และใช้สาร ไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญ เช่น วิตามิน อี ( a-tocopherol ) เบตาคาโรทีน ( Beta-carotene ) และวิตามิน ซี (Vitamin C) จากผักผลไม้และอาหาร
ไฟโตนิวเทรียนท์จากผักและผลไม้ ถือเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปัจจุบัน จึงมีการสนับสนุนให้ทานผักและผลไม้มากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าอาจลดการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและ โรคเรื้อรังบางชนิด
ไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีในผักและผลไม้ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้าอนุมูลอิสระและมี คุณประโยชน์เป็นที่ยอมรับ มีดังนี้คือ ชาเขียว มี สารสำคัญเป็น Polyphenol (โพลีฟีนอล) ที่ชื่อ Catechin (คาเทชิน) ทับทิม มี สารประเภท Flavonoid (ฟลาโวนอยด์) แครอท มี Beta-carotene ( เบต้าคาโรทีน ) มะเขือเทศ มี Lycopene (ไลโคปีน) มิกซ์เบอร์รี่ มี Flavonoid ชื่อ Anthocyanosides (แอนโธไซยาโนไซด์) ใน Bilberry อะเซโรลา เชอร์รี่ มี Vitamin C ถือเป็นแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง บร็อคโคลี่ มี Sulforaphane (ซัลโฟราเฟน) โรสแมรี่ มี Rosemarinic acid (โรสแมรินิค แอซิด) แอปเปิ้ล มีสารประเภท Polyphenol (โพลีฟีนอล) เช่นกัน อัลฟัลฟ่า มี Saponins (ซาโปนิน) มะกอกมี Oleuropein (โอลีโรเปอิน) เมล็ดองุ่นมี Proanthocyanidin (โปรแอนโธไซยานิดิน) หรือ พีซีโอ (PCO: Procyanidolic Oligomers)ขมิ้นมีสารสำคัญคือ Curcumin (เคอร์คิวมิน) ผักโขม มีใยผัก วิตามินแร่ธาตุหลายชนิด
รายงานที่บอกว่าการทานผักและผลไม้ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมีมากมายซึ่งคิดว่ากลไกทั้งด้านที่ผัก และผลไม้มีสารกากใยมากซึ่งจะช่วยทางด้านลดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ( อ้างอิงที่ 1 ) นอกจากนี้คือกลไกทางด้านต้านอนุมูลอิสระ จากสารไฟโตนิวเทรียนท์ ตัวอย่างรายงานวิจัยเรื่องลดความเสี่ยงของโรค มะเร็ง มีมากมาย รายงานแรก พบว่า ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ถึง 5.5 เท่า ซึ่งรายงานนี้ก็เป็นรายงานใหญ่ในการศึกษาแบบติดตามคนไข้ถึง 11,546 คนเป็นเวลา 25 ปี ( อ้างอิงที่ 2 ) ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด ก็มีรายงานเช่นกัน ( อ้างอิงที่ 3 ) บางรายงานตรวจสอบชัดลงไปได้ถึงชนิดของผักด้วยเช่นพบว่า ผักที่มีสีเหลืองเช่น แครอท พบว่าลดมะเร็งของปอดได้มากกว่าผักชนิดอื่นเป็นต้น ( อ้างอิงที่ 4 ) นอกจากนี้มีรายงานใหญ่ที่ติดตามการเป็นมะเร็งของประชากร 10,068 คน เป็นเวลาถึง 19 ปี ซึ่งในจำนวนนี้พบมะเร็งปอด 248 คน แต่ก็พบว่ากลุ่มที่มีการทานผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ หรือ เบต้าคาโรทีน จะสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งปอดได้ ( อ้างอิงที่ 5 ) การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อี สูงสามารถที่จะลดอุบัติการการเป็นมะเร็งเต้านมได้จริงในสตรีวัยเจริญพันธ์ จากการติดตาม คนไข้ 83,234 คน เป็นเวลา 14 ปี ( อ้างอิงที่ 6 ) มะเร็งกระเพาะปัสสาวะลดความเสี่ยงได้ด้วยการทาน ผักประเภท บร็อคโคลี และหัวผักกาด ( อ้างอิงที่ 7 ) นอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีนสูงก็มีผลต่อการลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง จากการวิจัยย้อนหลังในคนไข้ 4,802 คนติดตามไป 4 ปี ( อ้างอิงที่ 8 )
การรับประทานผักและผลไม้ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ในผู้ที่ไม่สามารถจะทานผักและผลไม้ได้ หรือทานได้น้อย ปัจจุบันก็มีอาหารสุขภาพที่สกัดสารสำคัญจากผักและผลไม้ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค
เอกสารอ้างอิง
Relationship between the intake of high-fibre foods and energy and the risk of cancer of the large bowel and breast. Eur J Cancer Prev 1998;7 Suppl 2:S11-7:S11-7.
Protective effect of fruits and vegetables on stomach cancer in a cohort of Swedish twins. Int J Cancer 1998;76(1):35-7.
Dietary factors and risk of lung cancer in never-smokers. Int J Cancer 1998;78(4):430-6.
Vegetable and fruit intake and the risk of lung cancer in women in Barcelona, Spain. Eur J Cancer 1997;33(8):1256-61.
Intake of vitamins E, C, and A and risk of lung cancer. The NHANES I epidemiologic followup study. First National Health and Nutrition Examination Survey. Am J Epidemiol 1997;146(3):231-43.
Dietary carotenoids and vitamins A, C, and E and risk of breast cancer. J Natl Cancer Inst 1999;91(6):547-56.
Fruit and vegetable intake and incidence of bladder cancer in a male prospective cohort. J Natl Cancer Inst 1999;91(7):605-13.
Dietary antioxidants and risk of myocardial infarction in the elderly: the Rotterdam Study. Am J Clin Nutr 1999;69(2):261-6
อาหารประเภทผัก ผลไม้ เป็นอาหารธรรมชาติที่มีสารสำคัญที่เรียกว่า Phytonutrient ( ไฟโตนิวเทรียนท์ ) มากมายหลายชนิด ไฟโตนิวเทรียนท์ เป็นสารธรรมชาติ ในผักผลไม้ที่เป็นสารสำคัญที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกาย หลายประการ ทั้งนี้ด้วยกลไกที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ( Antioxidant ) จากธรรมชาติ อนุมูลอิสระคือ โมเลกุลที่มีธาตุที่ไม่มั่นคงเนื่องจากขาด อิเลกตรอน ไป 1ตัว อนุมูลอิสระ ถือเป็นสารพิษที่สำคัญต่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ถ้ามีมากในเซลล์ก็เป็นอันตรายได้ โดยจะทำลาย ดีเอนเอ เยื่อหุ้มเซลล์ และองค์ประกอบอื่นๆของเซลล์ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า อนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นการก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งเป็นการทำลายเนื้อเยื่อในระยะสั้น หรือมีผลในระยะยาวโดยเป็นสาเหตุของ ความเสื่อมหรือการแก่ของเซลล์ และอาจเป็นสารการก่อมะเร็ง โรคหัวใจ ต้อกระจก โรคทางภูมิคุ้มกันและโรคเรื้อรังอีกหลายชนิดอนุมูลอิสระ มีที่มาทั้งแหล่งภายนอกและภายในร่างกาย อนุมูลอิสระที่มาจากภายนอก
ได้แก่ มลพิษในอากาศ ฝุ่น ควันบุหรี่ แสงแดด ความร้อน รังสีบางชนิด ยาบางชนิด จากแหล่งภายในร่างกาย ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเสียในขบวนการเมตาโบลิสม ของเซลล์ เมื่อเกิดอนุมูลอิสระแล้ว ร่างกายก็มีกลไกที่จะกำจัด อนุมูลอิสระ เหล่านี้โดยใช้เอนไซม์ต่าง ๆ และใช้สาร ไฟโตนิวเทรียนท์ที่สำคัญ เช่น วิตามิน อี ( a-tocopherol ) เบตาคาโรทีน ( Beta-carotene ) และวิตามิน ซี (Vitamin C) จากผักผลไม้และอาหาร
ไฟโตนิวเทรียนท์จากผักและผลไม้ ถือเป็นแหล่งสำคัญของสารต้านอนุมูลอิสระจำนวนมาก ปัจจุบัน จึงมีการสนับสนุนให้ทานผักและผลไม้มากขึ้น โดยมีความเชื่อว่าอาจลดการก่อมะเร็ง ลดการเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและ โรคเรื้อรังบางชนิด
ไฟโตนิวเทรียนท์ที่มีในผักและผลไม้ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้าอนุมูลอิสระและมี คุณประโยชน์เป็นที่ยอมรับ มีดังนี้คือ ชาเขียว มี สารสำคัญเป็น Polyphenol (โพลีฟีนอล) ที่ชื่อ Catechin (คาเทชิน) ทับทิม มี สารประเภท Flavonoid (ฟลาโวนอยด์) แครอท มี Beta-carotene ( เบต้าคาโรทีน ) มะเขือเทศ มี Lycopene (ไลโคปีน) มิกซ์เบอร์รี่ มี Flavonoid ชื่อ Anthocyanosides (แอนโธไซยาโนไซด์) ใน Bilberry อะเซโรลา เชอร์รี่ มี Vitamin C ถือเป็นแหล่งวิตามินซีธรรมชาติที่มีคุณภาพสูง บร็อคโคลี่ มี Sulforaphane (ซัลโฟราเฟน) โรสแมรี่ มี Rosemarinic acid (โรสแมรินิค แอซิด) แอปเปิ้ล มีสารประเภท Polyphenol (โพลีฟีนอล) เช่นกัน อัลฟัลฟ่า มี Saponins (ซาโปนิน) มะกอกมี Oleuropein (โอลีโรเปอิน) เมล็ดองุ่นมี Proanthocyanidin (โปรแอนโธไซยานิดิน) หรือ พีซีโอ (PCO: Procyanidolic Oligomers)ขมิ้นมีสารสำคัญคือ Curcumin (เคอร์คิวมิน) ผักโขม มีใยผัก วิตามินแร่ธาตุหลายชนิด
รายงานที่บอกว่าการทานผักและผลไม้ สามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งมีมากมายซึ่งคิดว่ากลไกทั้งด้านที่ผัก และผลไม้มีสารกากใยมากซึ่งจะช่วยทางด้านลดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ( อ้างอิงที่ 1 ) นอกจากนี้คือกลไกทางด้านต้านอนุมูลอิสระ จากสารไฟโตนิวเทรียนท์ ตัวอย่างรายงานวิจัยเรื่องลดความเสี่ยงของโรค มะเร็ง มีมากมาย รายงานแรก พบว่า ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหารได้ ถึง 5.5 เท่า ซึ่งรายงานนี้ก็เป็นรายงานใหญ่ในการศึกษาแบบติดตามคนไข้ถึง 11,546 คนเป็นเวลา 25 ปี ( อ้างอิงที่ 2 ) ผักและผลไม้ลดความเสี่ยงต่อมะเร็งปอด ก็มีรายงานเช่นกัน ( อ้างอิงที่ 3 ) บางรายงานตรวจสอบชัดลงไปได้ถึงชนิดของผักด้วยเช่นพบว่า ผักที่มีสีเหลืองเช่น แครอท พบว่าลดมะเร็งของปอดได้มากกว่าผักชนิดอื่นเป็นต้น ( อ้างอิงที่ 4 ) นอกจากนี้มีรายงานใหญ่ที่ติดตามการเป็นมะเร็งของประชากร 10,068 คน เป็นเวลาถึง 19 ปี ซึ่งในจำนวนนี้พบมะเร็งปอด 248 คน แต่ก็พบว่ากลุ่มที่มีการทานผักและผลไม้ที่มีวิตามิน เอ หรือ เบต้าคาโรทีน จะสามารถลดความเสี่ยงของมะเร็งปอดได้ ( อ้างอิงที่ 5 ) การทานผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีน วิตามิน ซี วิตามิน อี สูงสามารถที่จะลดอุบัติการการเป็นมะเร็งเต้านมได้จริงในสตรีวัยเจริญพันธ์ จากการติดตาม คนไข้ 83,234 คน เป็นเวลา 14 ปี ( อ้างอิงที่ 6 ) มะเร็งกระเพาะปัสสาวะลดความเสี่ยงได้ด้วยการทาน ผักประเภท บร็อคโคลี และหัวผักกาด ( อ้างอิงที่ 7 ) นอกจากนี้ผักและผลไม้ที่มี เบต้าคาโรทีนสูงก็มีผลต่อการลดอุบัติการณ์ของโรคหัวใจขาดเลือดได้จริง จากการวิจัยย้อนหลังในคนไข้ 4,802 คนติดตามไป 4 ปี ( อ้างอิงที่ 8 )
การรับประทานผักและผลไม้ จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ในผู้ที่ไม่สามารถจะทานผักและผลไม้ได้ หรือทานได้น้อย ปัจจุบันก็มีอาหารสุขภาพที่สกัดสารสำคัญจากผักและผลไม้ ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้บริโภค
เอกสารอ้างอิง
Relationship between the intake of high-fibre foods and energy and the risk of cancer of the large bowel and breast. Eur J Cancer Prev 1998;7 Suppl 2:S11-7:S11-7.
Protective effect of fruits and vegetables on stomach cancer in a cohort of Swedish twins. Int J Cancer 1998;76(1):35-7.
Dietary factors and risk of lung cancer in never-smokers. Int J Cancer 1998;78(4):430-6.
Vegetable and fruit intake and the risk of lung cancer in women in Barcelona, Spain. Eur J Cancer 1997;33(8):1256-61.
Intake of vitamins E, C, and A and risk of lung cancer. The NHANES I epidemiologic followup study. First National Health and Nutrition Examination Survey. Am J Epidemiol 1997;146(3):231-43.
Dietary carotenoids and vitamins A, C, and E and risk of breast cancer. J Natl Cancer Inst 1999;91(6):547-56.
Fruit and vegetable intake and incidence of bladder cancer in a male prospective cohort. J Natl Cancer Inst 1999;91(7):605-13.
Dietary antioxidants and risk of myocardial infarction in the elderly: the Rotterdam Study. Am J Clin Nutr 1999;69(2):261-6
กวาวเครือแดง
เป็นกวาวเครือสำหรับบุรุษเพศ โดยมีสรรพคุณไปในด้านบำรุงร่างกาย และสุขภาพให้แข็งแรง เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ
ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศ กวาวเครือแดง ( Butea superba ) เป็นกวาวเครือสำหรับบุรุษเพศ โดยมีสรรพคุณไปในด้านบำรุงร่างกาย และสุขภาพให้แข็งแรง เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศสรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำราแผนโบราณได้กล่าว ถึงสรรพคุณของกวาวเครือไว้ในด้านบำรุงร่างกาย โดยรวม ทั้งกวาวเครือขาวและแดงไว้อย่างเดียวกัน ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุ โดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม
( อ้างอิงที่ 1 )
กวาวเครือแดงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นคำเรียกรวม ๆ ของกลุ่มอาการที่สมรรถภาพทางเพศผิดปกติออกไปจนทำให้ตนเอง หรือคู่ครอง ไม่ได้รับความสุขในการร่วมเพศ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ได้แก่ การที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวไม่นานพอ การหลั่งเร็ว การไม่ถึงจุดสุดยอด และความเจ็บปวดในขณะร่วมเพศ สาเหตุโดยทั่วไปอาจเกิดจาก ภาวะที่คู่ของตนมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศเลยพลอยทำให้ตัวเองมีปัญหาไปด้วย หรืออาจจะเกิดจากการขาดทักษะ รวมไปถึงปัญหาทางจิตใจและร่างกาย เช่น ความเครียด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ( อ้างอิงที่ 2 )
มีรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ พบว่า ภาวะ ไม่แข็งตัว ( อีดี หรือ Erectile Dysfunction ) เป็นข้อมูลที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด และพบว่า ปัญหาด้านสุขภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเกิด อีดี นอกจากนี้ พฤติกรรมเสี่ยง เช่นการสูบบุหรี่ ก็มีผลกระทบได้เช่นกัน โดยมีข้อมูลในข่าวระบุว่า ชายไทยวัย 40 ปีขึ้นไปกว่า 30 % มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ( อ้างอิงที่ 2, 3 )
มีงานวิจัยสนับสนุนว่า กวาวเครือแดงช่วยเรื่องระบบสืบพันธ์ในหนูทดลอง โดยมีผลวิจัยว่ามีแนวโน้มทำให้จำนวน sperm มากขึ้น ( อ้างอิงที่ 4 ) และส่งเสริมการแข็งตัวของอวัยวะเพศในหนูทดลองเพศผู้ได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) และมีความปลอดภัยในระยะยาวด้วย ( อ้างอิงที่ 6, 7 ) สมุนไพรกวาวเครือแดง มีงานวิจัยในคนแล้วว่ามีความปลอดภัย และช่วยสมรรถภาพทางเพศในผู้ป่วยชายไทย ที่เป็นโรค อีดี ( อ้างอิงที่ 8 )
ปัจจุบันกวาวเครือแดงชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ถือได้ว่ามีความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตจาก อย ให้ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยแล้ว เป็นการแสดงว่า เป็นยาที่สามารถรับประทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งจากแพทย์ และการใส่กวาวเครือแดงร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี
กวาวเครือแดง ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคตับ และถ้าเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
เอกสารอ้างอิง
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474
2. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข http://www.dmh.go.th/1667/1667view.asp?id=3663 และ http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=777
3. กระทรวงสาธารณสุข ชายไทยอายุหลักสี่น่าเป็นห่วง 30% หย่อนสมรรถภาพทางเพศ http://www.moph.go.th/todaynews-show.php?ContentID=14677
4. Butea superba Roxb. Enhances penile erection in rats. Tocharus C, Smitasiri Y, Jeenapongsa R. Phytother Res. 2006 Jun;20(6):484-9
5. Effect of Butea superba on reproductive systems of rats. Manosroi A, Sanphet K, Saowakon S, Aritajat S, Manosroi J. Fitoterapia 2006 Sep;77(6):435-8
6. พิษเรื้อรังของกวาวเครือแดง. ปราณี ชวลิตธำรง, ทรงพล ชีวะพัฒน์, สมเกียรติ ปัญญามัง, สดุดี รัตนจรัสโรจน์, เรวดี บุตรภรณ์. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยาของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พศ.2546;215-230
7. The toxicology of Butea superba, Roxb. Pongpanparadon A, Aritajat S, Saenphet K. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 2002;33 Suppl3:155-8
8. Clinical trial of Butea superba, an alternative herbal treatment for erectile dysfunction. Cherdshewasart W, Nimsakul N. Asian J Androl. 2003 Sep;5(3):243-6.
ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศ กวาวเครือแดง ( Butea superba ) เป็นกวาวเครือสำหรับบุรุษเพศ โดยมีสรรพคุณไปในด้านบำรุงร่างกาย และสุขภาพให้แข็งแรง เป็นสมุนไพรอายุวัฒนะ ส่งเสริมสมรรถนะทางเพศสรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำราแผนโบราณได้กล่าว ถึงสรรพคุณของกวาวเครือไว้ในด้านบำรุงร่างกาย โดยรวม ทั้งกวาวเครือขาวและแดงไว้อย่างเดียวกัน ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย รับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุ โดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม
( อ้างอิงที่ 1 )
กวาวเครือแดงกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชายหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นคำเรียกรวม ๆ ของกลุ่มอาการที่สมรรถภาพทางเพศผิดปกติออกไปจนทำให้ตนเอง หรือคู่ครอง ไม่ได้รับความสุขในการร่วมเพศ อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย ได้แก่ การที่อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรือแข็งตัวไม่นานพอ การหลั่งเร็ว การไม่ถึงจุดสุดยอด และความเจ็บปวดในขณะร่วมเพศ สาเหตุโดยทั่วไปอาจเกิดจาก ภาวะที่คู่ของตนมีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศเลยพลอยทำให้ตัวเองมีปัญหาไปด้วย หรืออาจจะเกิดจากการขาดทักษะ รวมไปถึงปัญหาทางจิตใจและร่างกาย เช่น ความเครียด โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ( อ้างอิงที่ 2 )
มีรายงานข่าวเกี่ยวกับภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ พบว่า ภาวะ ไม่แข็งตัว ( อีดี หรือ Erectile Dysfunction ) เป็นข้อมูลที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด และพบว่า ปัญหาด้านสุขภาพก็เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่มีอิทธิพลต่อการเกิด อีดี นอกจากนี้ พฤติกรรมเสี่ยง เช่นการสูบบุหรี่ ก็มีผลกระทบได้เช่นกัน โดยมีข้อมูลในข่าวระบุว่า ชายไทยวัย 40 ปีขึ้นไปกว่า 30 % มีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ( อ้างอิงที่ 2, 3 )
มีงานวิจัยสนับสนุนว่า กวาวเครือแดงช่วยเรื่องระบบสืบพันธ์ในหนูทดลอง โดยมีผลวิจัยว่ามีแนวโน้มทำให้จำนวน sperm มากขึ้น ( อ้างอิงที่ 4 ) และส่งเสริมการแข็งตัวของอวัยวะเพศในหนูทดลองเพศผู้ได้จริง ( อ้างอิงที่ 5 ) และมีความปลอดภัยในระยะยาวด้วย ( อ้างอิงที่ 6, 7 ) สมุนไพรกวาวเครือแดง มีงานวิจัยในคนแล้วว่ามีความปลอดภัย และช่วยสมรรถภาพทางเพศในผู้ป่วยชายไทย ที่เป็นโรค อีดี ( อ้างอิงที่ 8 )
ปัจจุบันกวาวเครือแดงชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ถือได้ว่ามีความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อได้รับอนุญาตจาก อย ให้ขึ้นทะเบียนเป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยแล้ว เป็นการแสดงว่า เป็นยาที่สามารถรับประทานเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งจากแพทย์ และการใส่กวาวเครือแดงร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี
กวาวเครือแดง ไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคตับ และถ้าเป็นโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
เอกสารอ้างอิง
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474
2. กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข http://www.dmh.go.th/1667/1667view.asp?id=3663 และ http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=777
3. กระทรวงสาธารณสุข ชายไทยอายุหลักสี่น่าเป็นห่วง 30% หย่อนสมรรถภาพทางเพศ http://www.moph.go.th/todaynews-show.php?ContentID=14677
4. Butea superba Roxb. Enhances penile erection in rats. Tocharus C, Smitasiri Y, Jeenapongsa R. Phytother Res. 2006 Jun;20(6):484-9
5. Effect of Butea superba on reproductive systems of rats. Manosroi A, Sanphet K, Saowakon S, Aritajat S, Manosroi J. Fitoterapia 2006 Sep;77(6):435-8
6. พิษเรื้อรังของกวาวเครือแดง. ปราณี ชวลิตธำรง, ทรงพล ชีวะพัฒน์, สมเกียรติ ปัญญามัง, สดุดี รัตนจรัสโรจน์, เรวดี บุตรภรณ์. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยาของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2, กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พศ.2546;215-230
7. The toxicology of Butea superba, Roxb. Pongpanparadon A, Aritajat S, Saenphet K. Southeast Asian J Trop Med Public Health. 2002;33 Suppl3:155-8
8. Clinical trial of Butea superba, an alternative herbal treatment for erectile dysfunction. Cherdshewasart W, Nimsakul N. Asian J Androl. 2003 Sep;5(3):243-6.
การลดน้ำหนักด้วยสารสกัดถั่วขาว และถั่วเหลือง
การลดน้ำหนักในผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินหรืออ้วนมีได้หลายวิธี วิธีที่มาตรฐานและถือว่าดีและปลอดภัยที่สุดในวงการแพทย์คือ การควบคุมอาหาร และการออกกำลังกาย ในสองวิธีนี้การควบคุมอาหารทำได้ดีกว่า แต่การออกกำลังกายมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกหลายอย่างมากกว่า
การออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดในผู้ที่มีน้ำหนักเกินคือ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน แต่ละอย่างก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น ต้องมีสถานที่ มีอุปกรณ์มีสุขภาพที่ดีพอสมควร เช่นกการจะเดินจะวิ่งได้ก็ต้องไม่เป็นโรคข้อ คือหัวเข่าต้องแข็งแรง และไม่เป็นโรคหัวใจ เป็นต้น
การลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารเป็นวิธีที่ได้ผลกว่า เพราะถ้าออกกำลังกายแล้วมากินน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำชาเขียวที่มีน้ำตาลใส่กันหวานทั่วๆ ไป จะไม่ได้ผลเลย การลดน้ำหนักด้วยวิธีการคุมอาหารมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้บ้างดังต่อไปนี้
ที่ง่ายที่สุดคือแบ่งอาหารเป้นสองอย่างคือ แบบที่ให้พลังงานอาจจะทำให้อ้วนได้และแบบที่ไม่ให้พลังงานจะไม่ทำให้อ้วน อาหารที่จะทำให้อ้วนคืออาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ แป้ง น้ำตาล และไขมัน อาหารที่อ้วนน้อยคือ เนื้อสัตว์ (เนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป้นพลังงานได้ แต่ถ้าออกกำลังกายก็จะเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อได้) อาหารที่รับประทานแล้วไม่อ้วน คือ ผัก น้ำ ส่วนวิตามินและแร่ธาตุก็ไม่ทำให้อ้วนเลย
อาหารที่ให้พลังงานแม้จะทำให้อ้วนได้แต่ก็จำเป็น การจะอ้วนนั้นจะต้องให้พลังงานจากอาหารเกินความต้องการของเราในชีวิตประจำวัน ถ้าได้น้อยกว่าความต้องการของเราจะผอมลงทุกๆ วัน ถ้าได้พอดีน้ำหนักจะเท่าเดิม ถ้าได้มากเกินความต้องการจะอ้วนขึ้นๆ ดังนั้นจะเห็นว่า ผู้ใช้แรงงาน เช่น ก่อสร้าง แม้จะกินข้าวมื้อละสองจานพูนก็ไม่อ้วนเลยเพราะใช้พลังงานมากนั้นเอง
พลังงานที่เข้าวสู่ร่างกายได้จากสารอาหาร 3 หมู่ คือ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) และโปรตีน โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลเเคลอรี ส่วนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี (สำหรับวิตามิน, เกลือแร่, และน้ำไม่ให้พลังงาน) ทีนี่เราควรจะได้พลังงานจากอาหารแต่วันละเท่าไร โดยประมาณขึ้นอยู่กับอายุ ความสูง น้ำหนัก และเพศ โดยประมาณในผู้ใหญ่ สุภาพสตรีต้องการพลังงานประมาณวันละ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี ส่วนสุภาพบุรุษต้องการวันละ 2,200-2,800 กิโลแคลอรี
การประมาณอย่างคร่าวๆ สำหรับพลังงานที่ได้จากอาหารทั่วๆ ไปมีดังนี้ ข้าว 1 ทัพพี หรือขนมปัง 1 แผ่น ให้พลังงานประมาณ 68 กิโลแคลอรี น้ำอัดลม 8 ออนซ์ ประมาณ 105 กิโลแคลอรี นมกล่องประมาณ 140 กิโลแคลอรี ข้าวพร้อมกับ เช่น ข้าวราดแกง ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ให้พลังงานประมาณ 400-600 กิโลแคลอรี ถ้าเราทานอาหารไม่มากเกินความต้องการก็จะไม่ทำให้อ้วนขึ้น
การลดน้ำหนักด้วนอาหารเสริมแนวใหม่ การลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริมมีทั้งแนวรับประทานอาหารที่เป็นใยฟักที่พองตัว และกินที่ถ่วงท้องโดยไม่มีพลังงาน เช่น กลูโคแมนแนน นอกจากนี้ก็มีการรับประทานอาหารที่เพิ่มการเผาพลาญพลังงาน เช่นชาเขียวและน้ำมันดอกคำฝอย และแนวใหม่คือรับประทานอาหารเสริมที่มีการลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต คือ แป้งและน้ำตาล ลดการดูดซึมแป้ง ด้วยสารสกัดจากถั่วขาว และลดการดูดซึมน้ำตาลทั่วไป (เช่น ซูโครส) ด้วยสารสกัดจากถั่วเหลือง
ถั่วขาว มีสารสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน (Phaseaolamin) สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-อะไมเลส (Alpha-amylase) ที่ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้เล็กลงเป็นน้ำตาลหลายโมเลกุล (Olllgosaccharide) หรือน้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) แป้งจะต้องถูกย่อยเป็นน้ำตาลทั้งสองนี้ก่อน จึงจะผ่านกระบวนการย่อยต่อกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และดูดซึมเข้าผนังลำไส้ได้ เมื่อสารสกัดถั่วขาวไปยับยั้งรบกวนขั้นตอนนี้ก็ทำให้การย่อยแป้งยาวนานออกไปหรือแป้งถูกย่อยน้อยลง และแป้งถูกขับออกทางอุจจาระมากขึ้น ดังนั้นร่างการจะได้พลังงานจากแป้งน้อยลง
สารสกัดจากถั่วเหลือง ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว เนื่องจากน้ำตาลที่เรารับประทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ถูกย่อยมาจากแป้ง หรือมาจากการรับประทานเข้าไปโดยตรง ส่วนมากจะเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ น้ำตาลซูโครส (Sucrose เป็นน้ำตาลหลักที่มีอยู่ในน้ำตาลทราย น้ำอ้อย) น้ำตาลมอลโตส (Maltose มักมาจากการย่อยแป้งหรือการหมักเหล้า) และน้ำตาลแลคโตส (Lactose พบในน้ำนม) น้ำตาลเหล่านี้จะดูดซึมไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวคือ น้ำตาลกลูโคส หรือฟรุคโตสก่อนจึงจะดูดซึมได้ (glucose, fructose) การเปลี่ยนนี้ต้องใช้เอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งสารสกัดจากถั่วเหลืองช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Alpha-glucosidase ตัวนี้ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลนี้ไม่ได้หรือได้น้อยลงนั้นเอง
โดยสรุปแล้ว สารสกัดจากถั่วขาวมีสาระสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน (Phaseaolamin) สามารถบล็อคการเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส
ทำให้แป้งที่รับประทานเข้าไป ไม่ถูกย่อย จึงไม่สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ ตัวแป้งเองก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปกากไปในที่สุด โดยมีงานวิจัยรับรองเรื่องความปลอดภัยสนับสนุน
ส่วนสารสกัดจากถั่วเหลืองนั้นก็มีรายงานวิจัยว่า มีคุณสมบัติในการบล็อกการเปลี่ยนน้ำตาลโมเลกุลคู่เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส รวมถึงมีงานวิจัยเรื่องความปลอดภัยในการรับประทานด้วย
ด้วยกลไกการบล็อกการทำงานของเอนไซม์ของสารสกัดทั้ง 2 ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต น้อยลงทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้มากขึ้น
หลักการนี้สอดคล้องกับหลักการ โลว์ คาร์บ (Low Carb) ของ ดร.โรเบิร์ต ซี แอดกินส์ ซึ่งระบุว่า สาเหตุของการเกิดโรคอ้วนของชาวตะวันตกคือ การรับประทานคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็นแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป และส่วนที่เกินไปนี้ร่างการก็เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ แต่ในชีวิตประจำวันของคนไทยซึ่งรับประทนข้าวเป็นอาหารหลักนั้น หากเราจะลดการกินคาร์โบไฮเดรตลง ก็ต้องลดการกินข้าว ซึ่งปฏิบัติจริงได้ยาก ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักด้วยการกินอาหารเสริมที่สามารถบล็อคคาร์โบไฮเดรต นั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
การออกกำลังกายที่ง่ายที่สุดในผู้ที่มีน้ำหนักเกินคือ การเดิน การวิ่ง การว่ายน้ำ การขี่จักรยาน แต่ละอย่างก็มีข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป เช่น ต้องมีสถานที่ มีอุปกรณ์มีสุขภาพที่ดีพอสมควร เช่นกการจะเดินจะวิ่งได้ก็ต้องไม่เป็นโรคข้อ คือหัวเข่าต้องแข็งแรง และไม่เป็นโรคหัวใจ เป็นต้น
การลดน้ำหนักด้วยการคุมอาหารเป็นวิธีที่ได้ผลกว่า เพราะถ้าออกกำลังกายแล้วมากินน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือน้ำชาเขียวที่มีน้ำตาลใส่กันหวานทั่วๆ ไป จะไม่ได้ผลเลย การลดน้ำหนักด้วยวิธีการคุมอาหารมีสิ่งที่ต้องเรียนรู้บ้างดังต่อไปนี้
ที่ง่ายที่สุดคือแบ่งอาหารเป้นสองอย่างคือ แบบที่ให้พลังงานอาจจะทำให้อ้วนได้และแบบที่ไม่ให้พลังงานจะไม่ทำให้อ้วน อาหารที่จะทำให้อ้วนคืออาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่ แป้ง น้ำตาล และไขมัน อาหารที่อ้วนน้อยคือ เนื้อสัตว์ (เนื้อสัตว์มีโปรตีน ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป้นพลังงานได้ แต่ถ้าออกกำลังกายก็จะเปลี่ยนไปเป็นกล้ามเนื้อได้) อาหารที่รับประทานแล้วไม่อ้วน คือ ผัก น้ำ ส่วนวิตามินและแร่ธาตุก็ไม่ทำให้อ้วนเลย
อาหารที่ให้พลังงานแม้จะทำให้อ้วนได้แต่ก็จำเป็น การจะอ้วนนั้นจะต้องให้พลังงานจากอาหารเกินความต้องการของเราในชีวิตประจำวัน ถ้าได้น้อยกว่าความต้องการของเราจะผอมลงทุกๆ วัน ถ้าได้พอดีน้ำหนักจะเท่าเดิม ถ้าได้มากเกินความต้องการจะอ้วนขึ้นๆ ดังนั้นจะเห็นว่า ผู้ใช้แรงงาน เช่น ก่อสร้าง แม้จะกินข้าวมื้อละสองจานพูนก็ไม่อ้วนเลยเพราะใช้พลังงานมากนั้นเอง
พลังงานที่เข้าวสู่ร่างกายได้จากสารอาหาร 3 หมู่ คือ ไขมัน คาร์โบไฮเดรต (แป้งและน้ำตาล) และโปรตีน โดยไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 กิโลเเคลอรี ส่วนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี (สำหรับวิตามิน, เกลือแร่, และน้ำไม่ให้พลังงาน) ทีนี่เราควรจะได้พลังงานจากอาหารแต่วันละเท่าไร โดยประมาณขึ้นอยู่กับอายุ ความสูง น้ำหนัก และเพศ โดยประมาณในผู้ใหญ่ สุภาพสตรีต้องการพลังงานประมาณวันละ 1,800-2,000 กิโลแคลอรี ส่วนสุภาพบุรุษต้องการวันละ 2,200-2,800 กิโลแคลอรี
การประมาณอย่างคร่าวๆ สำหรับพลังงานที่ได้จากอาหารทั่วๆ ไปมีดังนี้ ข้าว 1 ทัพพี หรือขนมปัง 1 แผ่น ให้พลังงานประมาณ 68 กิโลแคลอรี น้ำอัดลม 8 ออนซ์ ประมาณ 105 กิโลแคลอรี นมกล่องประมาณ 140 กิโลแคลอรี ข้าวพร้อมกับ เช่น ข้าวราดแกง ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ให้พลังงานประมาณ 400-600 กิโลแคลอรี ถ้าเราทานอาหารไม่มากเกินความต้องการก็จะไม่ทำให้อ้วนขึ้น
การลดน้ำหนักด้วนอาหารเสริมแนวใหม่ การลดน้ำหนักด้วยอาหารเสริมมีทั้งแนวรับประทานอาหารที่เป็นใยฟักที่พองตัว และกินที่ถ่วงท้องโดยไม่มีพลังงาน เช่น กลูโคแมนแนน นอกจากนี้ก็มีการรับประทานอาหารที่เพิ่มการเผาพลาญพลังงาน เช่นชาเขียวและน้ำมันดอกคำฝอย และแนวใหม่คือรับประทานอาหารเสริมที่มีการลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต คือ แป้งและน้ำตาล ลดการดูดซึมแป้ง ด้วยสารสกัดจากถั่วขาว และลดการดูดซึมน้ำตาลทั่วไป (เช่น ซูโครส) ด้วยสารสกัดจากถั่วเหลือง
ถั่วขาว มีสารสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน (Phaseaolamin) สามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-อะไมเลส (Alpha-amylase) ที่ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้เล็กลงเป็นน้ำตาลหลายโมเลกุล (Olllgosaccharide) หรือน้ำตาลโมเลกุลคู่ (Disaccharide) แป้งจะต้องถูกย่อยเป็นน้ำตาลทั้งสองนี้ก่อน จึงจะผ่านกระบวนการย่อยต่อกลายเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว และดูดซึมเข้าผนังลำไส้ได้ เมื่อสารสกัดถั่วขาวไปยับยั้งรบกวนขั้นตอนนี้ก็ทำให้การย่อยแป้งยาวนานออกไปหรือแป้งถูกย่อยน้อยลง และแป้งถูกขับออกทางอุจจาระมากขึ้น ดังนั้นร่างการจะได้พลังงานจากแป้งน้อยลง
สารสกัดจากถั่วเหลือง ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลโมเลกุลคู่ให้เป็นโมเลกุลเดี่ยว เนื่องจากน้ำตาลที่เรารับประทานนั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดที่ถูกย่อยมาจากแป้ง หรือมาจากการรับประทานเข้าไปโดยตรง ส่วนมากจะเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ ได้แก่ น้ำตาลซูโครส (Sucrose เป็นน้ำตาลหลักที่มีอยู่ในน้ำตาลทราย น้ำอ้อย) น้ำตาลมอลโตส (Maltose มักมาจากการย่อยแป้งหรือการหมักเหล้า) และน้ำตาลแลคโตส (Lactose พบในน้ำนม) น้ำตาลเหล่านี้จะดูดซึมไม่ได้ จะต้องเปลี่ยนเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวคือ น้ำตาลกลูโคส หรือฟรุคโตสก่อนจึงจะดูดซึมได้ (glucose, fructose) การเปลี่ยนนี้ต้องใช้เอนไซม์แอลฟา-กลูโคซิเดส (Alpha-glucosidase) ซึ่งสารสกัดจากถั่วเหลืองช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Alpha-glucosidase ตัวนี้ จึงทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลนี้ไม่ได้หรือได้น้อยลงนั้นเอง
โดยสรุปแล้ว สารสกัดจากถั่วขาวมีสาระสำคัญคือ ฟาซีโอลามิน (Phaseaolamin) สามารถบล็อคการเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์แอลฟา-อะไมเลส
ทำให้แป้งที่รับประทานเข้าไป ไม่ถูกย่อย จึงไม่สามารถนำไปใช้เป็นแหล่งพลังงานได้ ตัวแป้งเองก็จะถูกขับออกจากร่างกายในรูปกากไปในที่สุด โดยมีงานวิจัยรับรองเรื่องความปลอดภัยสนับสนุน
ส่วนสารสกัดจากถั่วเหลืองนั้นก็มีรายงานวิจัยว่า มีคุณสมบัติในการบล็อกการเปลี่ยนน้ำตาลโมเลกุลคู่เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวได้ ด้วยกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ แอลฟา-กลูโคซิเดส รวมถึงมีงานวิจัยเรื่องความปลอดภัยในการรับประทานด้วย
ด้วยกลไกการบล็อกการทำงานของเอนไซม์ของสารสกัดทั้ง 2 ส่งผลให้ร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต น้อยลงทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้มากขึ้น
หลักการนี้สอดคล้องกับหลักการ โลว์ คาร์บ (Low Carb) ของ ดร.โรเบิร์ต ซี แอดกินส์ ซึ่งระบุว่า สาเหตุของการเกิดโรคอ้วนของชาวตะวันตกคือ การรับประทานคาร์โบไฮเดรต ไม่ว่าจะเป็นแป้งหรือน้ำตาลมากเกินไป และส่วนที่เกินไปนี้ร่างการก็เปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมไว้ แต่ในชีวิตประจำวันของคนไทยซึ่งรับประทนข้าวเป็นอาหารหลักนั้น หากเราจะลดการกินคาร์โบไฮเดรตลง ก็ต้องลดการกินข้าว ซึ่งปฏิบัติจริงได้ยาก ดังนั้น การควบคุมน้ำหนักด้วยการกินอาหารเสริมที่สามารถบล็อคคาร์โบไฮเดรต นั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้น
เรื่องน่ารู้ของเถาวัลย์เปรียง
เถาวัลย์เปรียง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens (Roxb.) Benth. เป็นไม้เถา องค์ประกอบทางเคมีของลำต้นเถาวัลย์เปรียงเป็นกลุ่มไอโซฟลาโวน (isoflavone) ไอโซฟลาโวน กลัยโคซัยด์ (isoflavone glycoside) และ พรีนิลเลดเตดไอโซฟลาโวน (prenylated isoflavone) (อ้างอิงที่ 1)
เถาวัลย์เปรียง เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกบรรจุอยู่ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสรรพคุณเป็นยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย (อ้างอิงที่ 2) มีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และความปลอดภัยในการใช้เถาวัลย์เปรียง สามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ (อ้างอิงที่ 1, 4)
ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง (อ้างอิงที่ 1)
มีส่วนช่วยควบคุมและ/หรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (อ้างอิงที่ 1)
มีความปลอดภัยในการใช้ (อ้างอิงที่ 1, 5)
เถาวัลย์เปรียงกับโรคข้อเข่าเสื่อม
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่พบบ่อยมากในผู้สูงอายุ ในประเทศไทยพบผู้สูงอายุมากกว่า 6 ล้านคน เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดยพบในผู้ป่วยวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการปวดเข่า และไม่สามารถทำงานหรือดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
หนึ่งในวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง และผู้ป่วยก็มักจะได้รับยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งได้แก่ ยาลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDS แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญคือระคายเคือง และทำให้เกิดแผลในระบบทางเดินอาหารและยามีราคาแพง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้ดำเนินการศึกษาวิจัยสมุนไพร “เถาวัลย์เปรียง” ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีมาก โดยพบว่าสารสกัดจากลำต้นของเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบที่เป็นยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรคปวดหลังส่วนล่างได้ ขณะนี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียง เมื่อทำการทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในสัตว์ ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ยังได้ทดสอบสรรพคุณในอาสาสมัครโดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช ในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาต้านอักเสบ Naproxen และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงก็พบว่าสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี และมีแนวโน้มว่าปลอดภัยกว่ายา Naproxen เพราะพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา Naproxen มีอาการหิวบ่อย แสบท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าว (อ้างอิงที่ 3)
เอกสารอ้างอิง :
เถาวัลย์เปรียง. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/Plant/MPRI2008/interesting1.shtm
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 67 ง วันที่ 24 สิงหาคม 2542
เถาวัลย์เปรียงพิชิตข้อเข่าเสื่อม. สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.thaihealth.or.th/node/4135
Anti-inflammatory isoflavonoids from the stems of Derris scandens. Planta Med. 2004 Jun;70(6):496-501.
Chronic toxicity study of crude extract of Derris scandens Benth. Songklanakarin-Journal-of-Science-and-Technology (Thailand). Warasan Songkhlanakharin. (Otc-Dec 1999). v. 21(4) p. 426-433.
เถาวัลย์เปรียง เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกบรรจุอยู่ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสรรพคุณเป็นยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย (อ้างอิงที่ 2) มีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และความปลอดภัยในการใช้เถาวัลย์เปรียง สามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ (อ้างอิงที่ 1, 4)
ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง (อ้างอิงที่ 1)
มีส่วนช่วยควบคุมและ/หรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (อ้างอิงที่ 1)
มีความปลอดภัยในการใช้ (อ้างอิงที่ 1, 5)
เถาวัลย์เปรียงกับโรคข้อเข่าเสื่อม
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่พบบ่อยมากในผู้สูงอายุ ในประเทศไทยพบผู้สูงอายุมากกว่า 6 ล้านคน เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดยพบในผู้ป่วยวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการปวดเข่า และไม่สามารถทำงานหรือดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
หนึ่งในวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง และผู้ป่วยก็มักจะได้รับยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งได้แก่ ยาลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDS แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญคือระคายเคือง และทำให้เกิดแผลในระบบทางเดินอาหารและยามีราคาแพง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้ดำเนินการศึกษาวิจัยสมุนไพร “เถาวัลย์เปรียง” ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีมาก โดยพบว่าสารสกัดจากลำต้นของเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบที่เป็นยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรคปวดหลังส่วนล่างได้ ขณะนี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียง เมื่อทำการทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในสัตว์ ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ยังได้ทดสอบสรรพคุณในอาสาสมัครโดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช ในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาต้านอักเสบ Naproxen และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงก็พบว่าสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี และมีแนวโน้มว่าปลอดภัยกว่ายา Naproxen เพราะพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา Naproxen มีอาการหิวบ่อย แสบท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าว (อ้างอิงที่ 3)
เอกสารอ้างอิง :
เถาวัลย์เปรียง. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/Plant/MPRI2008/interesting1.shtm
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 67 ง วันที่ 24 สิงหาคม 2542
เถาวัลย์เปรียงพิชิตข้อเข่าเสื่อม. สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.thaihealth.or.th/node/4135
Anti-inflammatory isoflavonoids from the stems of Derris scandens. Planta Med. 2004 Jun;70(6):496-501.
Chronic toxicity study of crude extract of Derris scandens Benth. Songklanakarin-Journal-of-Science-and-Technology (Thailand). Warasan Songkhlanakharin. (Otc-Dec 1999). v. 21(4) p. 426-433.
กวาวเครือขาว สมุนไพรสำหรับสตรีวัยทอง
กวาวเครือขาว ( Pueraria mirifica ) เป็นสมุนไพรที่กล่าวได้ว่า เป็นราชินีสมุนไพรไทยโดยแท้ มีชื่อเสียงมานานนับร้อยปี สรรพคุณโดยรวมจะเน้นไปใน การทำให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะสตรีวัยทอง กลับสดชื่น กลับมาเป็นสาว นอกจากนี้ กวาวเครือยังสนับสนุนความเป็นผู้หญิง ไปในทำนองให้สวยงามขึ้น และบำรุงอวัยวะภายใน ไปในทางที่ ส่งเสริมวัยเจริญพันธ์
สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน
ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย เรับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์ จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว ฟันไม่หลุด เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก) จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )
สารสำคัญในกวาวเครือ
สารสำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่ miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ ( Anti- oxidant ) ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมหลายชนิด และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย
ความปลอดภัย
ปัจจุบันกวาวเครือชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีกวาวเครือในปริมาณ ประมาณ 100 มก. เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัย ผ่านการวิจัยในความเป็นพิษระยะยาวในหนูทดลองแล้ว ( อ้างอิงที่ 12 ) และการใส่ร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี
กวาวเครือจึงปลอดภัย ถ้ามีการรับประทานอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การรับประทานกวาวเครืออย่างปลอดภัย
จะต้องมีการตรวจร่างกายที่จำเป็นก่อนการรับประทานได้แก่ ตรวจเต้านม ตรวจการทำงานของตับ และมดลูก ทั้งนี้เพราะกวาวเครือไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคของเต้านม มดลูกและ ตับ โรคของเต้านมที่เป็นอยู่ก่อนจะห้ามรับประทานกวาวเครือโดยเด็ดขาดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ซีสต์ เป็นพังผืด และการตรวจเต้านมยังเป็นการตรวจสกรีนหามะเร็งในเบื้องต้นด้วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจมดลูกก่อน เพราะกวาวเครือ ก็ไม่น่าจะเหมาะสมในผู้ที่เป็นโรคในมดลูกทุกชนิดเช่นกัน เช่น พังผืด เนื้องอก รวมทั้งก้อนในมดลูก แม้จะเป็นคนที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรรับประทาน
เมื่อรับประทานกวาวเครือ ควรมีการหยุดทานเป็นระยะในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือนเหมือนกับการรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อให้โอกาสมดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ และผู้ที่รับประทานกวาวเครือ ก็ควรได้รับการตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นระยะ ตามที่กำหนดไว้เช่น ทุก 6 เดือน หรือ หนึ่งปี
ข้อห้ามของการรับประทานกวาวเครือ
1. ผู้ที่เป็นโรคของทรวงอก เช่น เป็นซีสต์ เป็นพังผืด เป็นก้อน เป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง
2. ผู้ที่เป็นโรคของมดลูกและรังไข่ ทุกชนิด ทำนองเดียวกันกับทรวงอก
3. ผู้ที่ดื่มสุรา มีประวัติเป็นโรคตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง
4. ไม่ใช้ในเด็กและสตรีมีครรภ์
5. สตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์
โดยสรุป กวาวเครือขาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ และมีความปลอดภัยถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม ถือป็นสมุนไพรประจำชาติไทยที่มีคุณภาพสูงใคร ๆ ก็สู้ไม่ได้ และเป็นสมุนไพรที่นำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474
2.ผลของกวาวขาว ( Pueraria mirifica Sahw et Suvatabandhu ) ต่อยุงก้นปล่อง
( Anopheles dirus Peyton, Harrison ) . Abstract 16th Conference on Science and Techonology of Thailand 25-27 October 1990:16
3. ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดของกวาวขาวในหนูขาว. วารสารคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2529-2530: 13-14 ( 2/1 ):75-78
4. ผลของกวาวเครือขาวต่อการสืบพันธ์ของนกพิราบ การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 กรุงเทพ ประเทศไทย 27-29 ตุลาคม 2535:178
5. ผลของสารสกัดสมุนไพรบางชนิดต่อการสืบพันธ์ของหนูขาวเพศเมีย การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 สงขลา ประเทศไทย 19-21 ตุลาคม 2537:280
6. สมุนไพร อาหารเสริม ฮอร์โมน เอกสารประกอบการสัมนาวิชาการ สมุนไพรกับสตรีวัยทอง. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันแพทย์แผนไทย 19-20 กรกฏาคม 2542 : 35-417.
7. ภาพรวมงานวิจัยและพัฒนากวาวเครือตั้งแต่อดีต 2524 ถึงปัจจุบัน 2541 : เอกสารประกอบการ สัมมนาวิชาการกวาวเครือ สถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 1 ธันวาคม 2541:13-25
8. การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับกวาวขาวในลูกสุนัข. ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และฝ่ายสัตวแพทย์ กองสาธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ เชียงใหม่
9. พิษของกวาวเครือขาว ( Pueraria mirfica ) ต่อนกกระทาพันธ์ญี่ปุ่น. วารสารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527; 11 ( 1-2 ) :46-55
10. อิทธิพลของกวาวเครือขาว ต่อนกกระทา การสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว วารสารเทคนิคการแพทย์เชียงใหม่ 2535; 25(3):107-14
11. การศึกษาผลของกวาวขาวที่มีต่ออวัยวะสืบพันธ์ต่อมหมวกไต ตับ และพฤติกรรมการสืบพันธุ์ในหนุขาวเพศผู้ วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527
12. พิษวิทยาของกวาวเครือขาว. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2546
สรรพคุณกวาวเครือ ในตำราแพทย์แผนโบราณ
ตำราแผนโบราณได้กล่าวไว้ดังนี้ " คนอ่อนเพลีย ผอมแห้ง แรงน้อย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ กินยานี้ 20-30 วัน โรคอ่อนเพลียหายสิ้น นอนหลับสบาย เดินไปมาได้ตามปกติ กวาวเครือบำรุงโลหิต บำรุงสมอง บำรุงกำลัง หญิงอายุ 70-80 ปี กินแล้วอ้วนท้วนสมบูรณ์ กลับมีระดูอย่างสาว นมมีไตแข็งขึ้นอีก ชายกินแล้วนมแตกพานแข็งเหมือนเด็กหนุ่ม มีกล้าม เนื้อหนังเต่งตึง ท่านห้ามเด็กหนุ่มสาวกิน
ตำผงกินกับน้ำนมวัว หัวคิดสมองปลอดโปร่ง ทรงจำตำราโหราศาสตร์ได้ถึง 3 คัมภีร์ เนื้อหนังจะนิ่มนวลดุจเด็ก 6 ขวบ อายุจะยืนถึง 3,000 กว่าปี โรคาพยาธิจะไม่มาเบียดเบียนเลย เรับประทานกับน้ำข้าวที่เช็ดไว้ให้เปรี้ยว จะมีเนื้อหนังนิ่มนวลดุจเทพธิดา รับประทานกับน้ำมันเนยหรือน้ำผึ้ง จะอายุยืน ท่องโหราศาสตร์ได้ 3 คัมภีร์ จะรับรองมาตุคามได้ถึงพันคน ( น่าจะเป็นกวาวเครือแดง ) รับประทานกับนมเปรี้ยว อายุยืน ผมไม่ขาว ฟันไม่หลุด เนื้อหนังไม่ย่น รับประทานกับตรีผลา (มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก) จักษุที่มัวหรือมีฝ้า แลไม่เห็นก็จะเห็น แช่นมควายทาผม ผมจะงอกดี ผมขาวจะดำ ทาผมด้วยน้ำมันงา ผมจะไม่ขาว เนื้อหนังจะไม่ย่น โรคาพยาธิทุกจำพวกจะไม่มีเลย แช่น้ำนมทา คนที่เสียจักษุโดยมีฝ้าปิด 6 เดือน จะกลับเห็นดีตามเดิม ( อ้างอิงที่ 1 )
สารสำคัญในกวาวเครือ
สารสำคัญ ที่พบในกวาวเครือขาวมีมากมาย ที่เด่น ๆ ได้แก่ miroestrol, daidzein, genistin, puerarin, สารต่าง ๆ เหล่านี้หลายชนิดมีคุณสมบัติเป็น ไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) คือเป็นเอสโตรเจนที่ได้จากพืช และออกฤทธิ์เช่นเดียวกับเอสโตรเจนทุกประการ โดยออกฤทธิ์ที่ตัวรับ ( receptor ) เดียวกับเอสโตรเจน สารไฟโตรเอสโตรเจน พบมากในถั่วเหลือง และมีรายงานมากมายว่า สามารถมีฤทธิ์ลดการสร้างอนุมูลอิสระ ( Anti- oxidant ) ซึ่งอาจต้านมะเร็งและช่วยในโรคหัวใจ และมีรายงานว่าการทานธัญพืชและพืชตระกูลถั่วเหลืองสามารถลดอุบัติการณ์มะเร็งเต้านม ต่อมลูกหมาก และลำไส้ใหญ่ และช่วยให้โรคหัวใจดีขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าการใช้กวาวเครือสามารถจะลดมะเร็งหรือป้องกันมะเร็ง ได้ แต่ก็มีงานวิจัยว่ากวาวเครือขาวไม่มีผลส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมหลายชนิด และยังอาจยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดได้ด้วย
ความปลอดภัย
ปัจจุบันกวาวเครือชนิดที่รับประทาน ได้รับอนุญาตให้ขึ้นทะเบียนเป็นตำรับยาแผนโบราณ และยาแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ซึ่งมีกวาวเครือในปริมาณ ประมาณ 100 มก. เป็นที่ยอมรับว่าปลอดภัย ผ่านการวิจัยในความเป็นพิษระยะยาวในหนูทดลองแล้ว ( อ้างอิงที่ 12 ) และการใส่ร่วมกับสมุนไพร เช่น ตรีผลา คือ มะขามป้อม สมอไทย สมอพิเภก ก็มีในตำรับโบราณ ทั้งนี้ ตรีผลา ก็มีความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปรับสมดุลของร่างกาย การทานร่วมกับกวาวเครือ จึงช่วยให้มีสมดุลที่ดี
กวาวเครือจึงปลอดภัย ถ้ามีการรับประทานอย่างถูกต้องและเหมาะสม
การรับประทานกวาวเครืออย่างปลอดภัย
จะต้องมีการตรวจร่างกายที่จำเป็นก่อนการรับประทานได้แก่ ตรวจเต้านม ตรวจการทำงานของตับ และมดลูก ทั้งนี้เพราะกวาวเครือไม่เหมาะในผู้ที่เป็นโรคของเต้านม มดลูกและ ตับ โรคของเต้านมที่เป็นอยู่ก่อนจะห้ามรับประทานกวาวเครือโดยเด็ดขาดทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น ซีสต์ เป็นพังผืด และการตรวจเต้านมยังเป็นการตรวจสกรีนหามะเร็งในเบื้องต้นด้วย นอกจากนี้ก็ควรตรวจมดลูกก่อน เพราะกวาวเครือ ก็ไม่น่าจะเหมาะสมในผู้ที่เป็นโรคในมดลูกทุกชนิดเช่นกัน เช่น พังผืด เนื้องอก รวมทั้งก้อนในมดลูก แม้จะเป็นคนที่ปวดประจำเดือนบ่อย ๆ ก็ไม่ควรรับประทาน
เมื่อรับประทานกวาวเครือ ควรมีการหยุดทานเป็นระยะในช่วง 7 วันสุดท้ายของแต่ละเดือนเหมือนกับการรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อให้โอกาสมดลูกได้พักและมีประจำเดือนตามปกติ และผู้ที่รับประทานกวาวเครือ ก็ควรได้รับการตรวจภายในและมะเร็งเต้านมเป็นระยะ ตามที่กำหนดไว้เช่น ทุก 6 เดือน หรือ หนึ่งปี
ข้อห้ามของการรับประทานกวาวเครือ
1. ผู้ที่เป็นโรคของทรวงอก เช่น เป็นซีสต์ เป็นพังผืด เป็นก้อน เป็นเนื้องอก เป็นมะเร็ง
2. ผู้ที่เป็นโรคของมดลูกและรังไข่ ทุกชนิด ทำนองเดียวกันกับทรวงอก
3. ผู้ที่ดื่มสุรา มีประวัติเป็นโรคตับ เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบ บี ซึ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งตับสูง
4. ไม่ใช้ในเด็กและสตรีมีครรภ์
5. สตรีวัยเจริญพันธุ์ ควรปรึกษาแพทย์
โดยสรุป กวาวเครือขาวจึงเป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ และมีความปลอดภัยถ้ารู้จักใช้อย่างเหมาะสม ถือป็นสมุนไพรประจำชาติไทยที่มีคุณภาพสูงใคร ๆ ก็สู้ไม่ได้ และเป็นสมุนไพรที่นำชื่อเสียงมาให้ประเทศไทยอย่างแท้จริง
เอกสารอ้างอิง
1. หลวงอนุสารสุนทร. ตำรายาหัวกวาวเครือ. กรมการพิเศษ เชียงใหม่ โรงพิมพ์อุปะติพงศ์ พฤษภาคม 2474
2.ผลของกวาวขาว ( Pueraria mirifica Sahw et Suvatabandhu ) ต่อยุงก้นปล่อง
( Anopheles dirus Peyton, Harrison ) . Abstract 16th Conference on Science and Techonology of Thailand 25-27 October 1990:16
3. ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดของกวาวขาวในหนูขาว. วารสารคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2529-2530: 13-14 ( 2/1 ):75-78
4. ผลของกวาวเครือขาวต่อการสืบพันธ์ของนกพิราบ การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 18 กรุงเทพ ประเทศไทย 27-29 ตุลาคม 2535:178
5. ผลของสารสกัดสมุนไพรบางชนิดต่อการสืบพันธ์ของหนูขาวเพศเมีย การประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 20 สงขลา ประเทศไทย 19-21 ตุลาคม 2537:280
6. สมุนไพร อาหารเสริม ฮอร์โมน เอกสารประกอบการสัมนาวิชาการ สมุนไพรกับสตรีวัยทอง. ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันแพทย์แผนไทย 19-20 กรกฏาคม 2542 : 35-417.
7. ภาพรวมงานวิจัยและพัฒนากวาวเครือตั้งแต่อดีต 2524 ถึงปัจจุบัน 2541 : เอกสารประกอบการ สัมมนาวิชาการกวาวเครือ สถาบันแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข 1 ธันวาคม 2541:13-25
8. การศึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับกวาวขาวในลูกสุนัข. ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และฝ่ายสัตวแพทย์ กองสาธารณสุข เทศบาลนครเชียงใหม่ เชียงใหม่
9. พิษของกวาวเครือขาว ( Pueraria mirfica ) ต่อนกกระทาพันธ์ญี่ปุ่น. วารสารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527; 11 ( 1-2 ) :46-55
10. อิทธิพลของกวาวเครือขาว ต่อนกกระทา การสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว วารสารเทคนิคการแพทย์เชียงใหม่ 2535; 25(3):107-14
11. การศึกษาผลของกวาวขาวที่มีต่ออวัยวะสืบพันธ์ต่อมหมวกไต ตับ และพฤติกรรมการสืบพันธุ์ในหนุขาวเพศผู้ วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2527
12. พิษวิทยาของกวาวเครือขาว. ประมวลผลงานวิจัยด้านพิษวิทยา ของสถาบันวิจัยสมุนไพร เล่ม 2 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พิมพ์ครั้งที่ 1 ธันวาคม 2546
สารอาหารสำหรับเด็ก
สารอาหารที่เด็กได้รับมีผลต่อพัฒนาการและสติปัญญา ความฉลาดทางปัญญาหรือไอคิว ( INTELLIGENCE QUOTIENT ) เป็นการวัดความสามารถทางการคิดวิเคราะห์ ความสามารถทางวิชาการ วัดความจำ การอ่านเขียน คำนวณ แต่ไม่ได้วัดด้านอื่นๆ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ , ทักษะต่างๆ ด้านการทำงาน , ทักษะชีวิตประจำวัน ฯลฯ วัดได้จากอายุสมองเทียบกับอายุจริง ปกติควรอยู่ที่ 90 – 110 ไอคิวของเด็กนั้นขึ้นกับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ หรือเรียกกันย่อๆ ว่า 3 N คือ
1. Nature : ได้แก่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม กล่าวคือ พ่อแม่ฉลาดลูกก็จะมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องระดับสติปัญญา
2. Nurture : ได้แก่ การเลี้ยงลูก ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อม การกระตุ้นต่างๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาระดับสติปัญญา
3. Nutrition : ได้แก่ โภชนาการ หรือ อาหาร
เมื่อมาพิจารณาในปัจจัยเรื่อง Nutrition หรือโภชนาการแล้วหากเจาะลึกเข้าไปถึงสารอาหารที่เกี่ยวกับการพัฒนาและการทำงานของสมองแล้ว จะมีชื่อเรียกเฉพาะกันว่า Neuronutrients ( นิวโรนิวเทรียนส์ ) ตัวอย่างของ Neuronutrients ได้แก่ อาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จากธัญพืช และผักผลไม้
Neuronutrients บางชนิดที่น่าทำความรู้จักและมีผลต่อพัฒนาการมีดังนี้
1. โปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และบำรุงรักษาเซลล์ทุกชนิดของร่างกาย ซึ่งหมายความรวมถึงเซลล์ประสาทด้วย โปรตีนเกิดจากหน่วยเล็กที่เรียกว่า กรดอะมิโน มาเรียงต่อกัน เมื่อเรารับประทานโปรตีนเข้าไปร่างกายก็จะย่อยโปรตีนนั้นกลับมาเป็นกรดอะมิโน เพื่อให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมไปใช้แหล่งของโปรตีนคือ เนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง
2. ไขมัน เนื้อสมองประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นไขมัน ซึ่งไขมันนั้นก็เกิดจากกรดไขมันนั่นเอง หนึ่งในกรดไขมันที่มีหลายๆงานวิจัยสนับสนุนว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองในหลายๆ ด้านคือ กรด ดี เอช เอ ( DHA , โดโคซาเฮกซาอีโนอิก Docosa hexaenoic acid ) แหล่งของ ดี เอช เอ คือ น้ำมันปลา DHA กำลังเป็นที่ให้ความสนใจ อย่างมากในด้านบำรุงสมอง
3. คาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเป็นหน่วยย่อยที่เรียกว่ากลูโคส ซึ่งกลูโคสนี่เองที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่สมองและเซลล์ประสาทต่างๆ พลังงานนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อการส่งสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ ( bioelectric ) ไปยังระบบประสาทรวมถึงจำเป็นต่อการใช้ในการซ่อมแซมประสาทที่สึกหรอด้วยกลูโคสได้จากคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งและน้ำตาล
นอกจาก Neuronutrients แล้ว สารอาหารอื่นๆที่จำเป็นต่อเด็กก็ยังมีอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ต่างๆ ใยอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ต่างแหล่งของสารอาหารเหล่านี้มักจะอยู่ในผักและผลไม้ ธัญพืช ซึ่งผู้ปกครองหลายๆ คนมักประสบปัญหาที่ว่า เด็กๆ มักจะบ่ายเบี่ยง และไม่ค่อยรับประทานกัน ทั้งๆ ที่สารอาหารเหล่านี้ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี เช่น
- ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ หากไม่ได้รับประทานอาหารที่มีกากใยแล้ว จะมีปัญหาเรื่องท้องผูกตามมา ซึ่งหากปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังก็จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
- เบต้า – แคโรทีน พบมากในแครอท เบต้า – แคโรทีนนอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ในภาวะที่ขาดวิตามินเอ เบต้า – แคโรทีน ยังสามารถที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายจึงป้องกันโรคได้หลายชนิดที่เกิดจากการขาดวิตามินเอ เช่น โรคตาฟางในเวลากลางคืน เติบโตช้า ผิวหนังแห้งกร้าน
ปัยหาดังกล่าว หากได้ทำการปรับเปลี่ยนเทคนิค เพื่อเด็กๆ ได้สารอาหารโดยที่เด็ก ๆ ไม่ปฏิเสธ โดยเปลี่ยนรูปอาหารให้เป็นที่น่าสนใจและชื่นชอบของเด็ก ๆ เช่น เป็นน้ำผัก ผลไม้ หรือเป็นขนมเม็ดเคี้ยวที่มีคุณค่าอาหารดังกล่าวอยู่ภายใน โดยเฉพาะขนมนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นของที่คู่กับเด็กเลยก็ว่าได้ หากมีอาหารที่มีคุณค่าที่อยู่ในรูปขนมที่อร่อย รับประทานง่ายแล้ว เด็ก ๆ จะชื่นชอบและจะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการทางสมอง จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในเด็กๆ
เอกสารอ้างอิง :
1. เครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา, http://www.parent-youth.net/
2. สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร ( ฉบับพ่อแม่ ) สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี 2542 โดย รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, www.rsu.ac.th/html/ebook/BRAIN.PDF
3. Dietary essential fatty acid and brain function : a developmental perspective on mechanisms, Wainwright PE. , Department of Health Studies and Gerontology, University of waterloo, Ontario,Canada , 2002Feb;61(1)61-9
4. Maternal DHA and the development of attention in infancy and toddlerhood, Colombo J, Kannass KN, Shaddy DJ, Kundurthi S, Maikranz JM, Anderson CJ, Blaga OM, Carlson SE., Department of Psychology and the Schiefelbusch Institute for Lifespan Studies, University of Kansas, Lawrence 66045, USA., 2004 Jul-Aug;75(4):1254-67
5. Visual, cognitive, and language assessments at 39 months : a follow-up study of children fed formulas containing long-chain polyunsaturated fatty acids to 1 year of age, Auestad N, Scott DT, Janowsky JS, Jacobsen C, Carroll RE, Montalto MB, Halter R, Qiu W, Jacobs JR, Connor WE, Connor SL, Taylor JA, Neuringer M, Fitzgerald KM, Hall RT., Ross Products Division, Abbott Laboratories, Columbus, Ohio 43215, USA. , 2003 Sep;112(3 Pt 1 ):e177-83
6. Essential fatty acids in visual and brain development, Uauy R, Hoffman DR, Peirano P, Birch DG, Birch EE., Institute of Nutrition and Food Technology ( INTA ) University of Chile, Santiago, Chile., 2001 Sep;36(9):885-95
7. Is dietary docosahexaenoic acid essential for term infants ? , Makrides M, Neumann MA, Gibson RA., Department of Paediatrics and Child Health, Flinders Medical Centre, Adelaide, Australia. 1996 Jan; 31(1):115-9
1. Nature : ได้แก่ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม กล่าวคือ พ่อแม่ฉลาดลูกก็จะมีพื้นฐานที่ดีในเรื่องระดับสติปัญญา
2. Nurture : ได้แก่ การเลี้ยงลูก ซึ่งหมายถึงสิ่งแวดล้อม การกระตุ้นต่างๆ ที่มีผลต่อการพัฒนาระดับสติปัญญา
3. Nutrition : ได้แก่ โภชนาการ หรือ อาหาร
เมื่อมาพิจารณาในปัจจัยเรื่อง Nutrition หรือโภชนาการแล้วหากเจาะลึกเข้าไปถึงสารอาหารที่เกี่ยวกับการพัฒนาและการทำงานของสมองแล้ว จะมีชื่อเรียกเฉพาะกันว่า Neuronutrients ( นิวโรนิวเทรียนส์ ) ตัวอย่างของ Neuronutrients ได้แก่ อาหารประเภทโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จากธัญพืช และผักผลไม้
Neuronutrients บางชนิดที่น่าทำความรู้จักและมีผลต่อพัฒนาการมีดังนี้
1. โปรตีน โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต และบำรุงรักษาเซลล์ทุกชนิดของร่างกาย ซึ่งหมายความรวมถึงเซลล์ประสาทด้วย โปรตีนเกิดจากหน่วยเล็กที่เรียกว่า กรดอะมิโน มาเรียงต่อกัน เมื่อเรารับประทานโปรตีนเข้าไปร่างกายก็จะย่อยโปรตีนนั้นกลับมาเป็นกรดอะมิโน เพื่อให้เซลล์ต่างๆ ดูดซึมไปใช้แหล่งของโปรตีนคือ เนื้อสัตว์ นม ไข่ และธัญพืช เช่น ถั่วเหลือง
2. ไขมัน เนื้อสมองประกอบไปด้วยส่วนประกอบที่เป็นไขมัน ซึ่งไขมันนั้นก็เกิดจากกรดไขมันนั่นเอง หนึ่งในกรดไขมันที่มีหลายๆงานวิจัยสนับสนุนว่ามีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมองในหลายๆ ด้านคือ กรด ดี เอช เอ ( DHA , โดโคซาเฮกซาอีโนอิก Docosa hexaenoic acid ) แหล่งของ ดี เอช เอ คือ น้ำมันปลา DHA กำลังเป็นที่ให้ความสนใจ อย่างมากในด้านบำรุงสมอง
3. คาร์โบไฮเดรต ร่างกายจะย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตเป็นหน่วยย่อยที่เรียกว่ากลูโคส ซึ่งกลูโคสนี่เองที่เป็นแหล่งพลังงานให้แก่สมองและเซลล์ประสาทต่างๆ พลังงานนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นมากต่อการส่งสัญญาณไฟฟ้าชีวภาพ ( bioelectric ) ไปยังระบบประสาทรวมถึงจำเป็นต่อการใช้ในการซ่อมแซมประสาทที่สึกหรอด้วยกลูโคสได้จากคาร์โบไฮเดรตประเภทแป้งและน้ำตาล
นอกจาก Neuronutrients แล้ว สารอาหารอื่นๆที่จำเป็นต่อเด็กก็ยังมีอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามิน เกลือแร่ต่างๆ ใยอาหาร เป็นต้น อย่างไรก็ต่างแหล่งของสารอาหารเหล่านี้มักจะอยู่ในผักและผลไม้ ธัญพืช ซึ่งผู้ปกครองหลายๆ คนมักประสบปัญหาที่ว่า เด็กๆ มักจะบ่ายเบี่ยง และไม่ค่อยรับประทานกัน ทั้งๆ ที่สารอาหารเหล่านี้ส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดี เช่น
- ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายให้เป็นปกติ หากไม่ได้รับประทานอาหารที่มีกากใยแล้ว จะมีปัญหาเรื่องท้องผูกตามมา ซึ่งหากปล่อยให้ท้องผูกเรื้อรังก็จะไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ
- เบต้า – แคโรทีน พบมากในแครอท เบต้า – แคโรทีนนอกจากจะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงแล้ว ในภาวะที่ขาดวิตามินเอ เบต้า – แคโรทีน ยังสามารถที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกายจึงป้องกันโรคได้หลายชนิดที่เกิดจากการขาดวิตามินเอ เช่น โรคตาฟางในเวลากลางคืน เติบโตช้า ผิวหนังแห้งกร้าน
ปัยหาดังกล่าว หากได้ทำการปรับเปลี่ยนเทคนิค เพื่อเด็กๆ ได้สารอาหารโดยที่เด็ก ๆ ไม่ปฏิเสธ โดยเปลี่ยนรูปอาหารให้เป็นที่น่าสนใจและชื่นชอบของเด็ก ๆ เช่น เป็นน้ำผัก ผลไม้ หรือเป็นขนมเม็ดเคี้ยวที่มีคุณค่าอาหารดังกล่าวอยู่ภายใน โดยเฉพาะขนมนั้นแทบจะเรียกได้ว่าเป็นของที่คู่กับเด็กเลยก็ว่าได้ หากมีอาหารที่มีคุณค่าที่อยู่ในรูปขนมที่อร่อย รับประทานง่ายแล้ว เด็ก ๆ จะชื่นชอบและจะช่วยให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อการพัฒนาการทางสมอง จึงเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งในเด็กๆ
เอกสารอ้างอิง :
1. เครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา, http://www.parent-youth.net/
2. สิ่งแวดล้อมและการเรียนรู้ สร้างสมองเด็กให้ฉลาดได้อย่างไร ( ฉบับพ่อแม่ ) สำนักงานคณะกรรมการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี 2542 โดย รศ.พญ.ศันสนีย์ ฉัตรคุปต์, www.rsu.ac.th/html/ebook/BRAIN.PDF
3. Dietary essential fatty acid and brain function : a developmental perspective on mechanisms, Wainwright PE. , Department of Health Studies and Gerontology, University of waterloo, Ontario,Canada , 2002Feb;61(1)61-9
4. Maternal DHA and the development of attention in infancy and toddlerhood, Colombo J, Kannass KN, Shaddy DJ, Kundurthi S, Maikranz JM, Anderson CJ, Blaga OM, Carlson SE., Department of Psychology and the Schiefelbusch Institute for Lifespan Studies, University of Kansas, Lawrence 66045, USA., 2004 Jul-Aug;75(4):1254-67
5. Visual, cognitive, and language assessments at 39 months : a follow-up study of children fed formulas containing long-chain polyunsaturated fatty acids to 1 year of age, Auestad N, Scott DT, Janowsky JS, Jacobsen C, Carroll RE, Montalto MB, Halter R, Qiu W, Jacobs JR, Connor WE, Connor SL, Taylor JA, Neuringer M, Fitzgerald KM, Hall RT., Ross Products Division, Abbott Laboratories, Columbus, Ohio 43215, USA. , 2003 Sep;112(3 Pt 1 ):e177-83
6. Essential fatty acids in visual and brain development, Uauy R, Hoffman DR, Peirano P, Birch DG, Birch EE., Institute of Nutrition and Food Technology ( INTA ) University of Chile, Santiago, Chile., 2001 Sep;36(9):885-95
7. Is dietary docosahexaenoic acid essential for term infants ? , Makrides M, Neumann MA, Gibson RA., Department of Paediatrics and Child Health, Flinders Medical Centre, Adelaide, Australia. 1996 Jan; 31(1):115-9
สารอาหารเพื่อความงาม
ความงดงาม เป็นสิ่งที่ต้องใฝ่ใจในการดูแลและรักษา ความงาม จะประกอบไปด้วยรูปร่างที่ดีและผิวพรรณที่ดี การดูแลสุขภาพเพื่อให้มีผิวพรรณที่ดีนั้นทำได้ทั้งการดูแลจากภายในและภาย นอก การดูแลจากภายนอกนั้น สามารถทำได้ด้วยการ ดูแลผิวให้สะอาด การให้ความชุ่มชื้นด้วยโลชั่นหรือ มอยส์เจอร์ไรด์เซอร์ การป้องกันผิวจากแสงแดดด้วยโลชั่นหรือครีมกันแดด ส่วนการดูแลให้ผิวสวยจากภายในนั้น สามารถทำได้โดยการพักผ่อนให้พอเพียง การทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง สบาย ไม่เครียด การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การไม่สูบบุหรี่ หรือ ดื่มแอลกอฮอล์ และการได้รับสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน ถูกสุขลักษณะมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้ ช่วยในเรื่องลดการสะสมไขมันในผนังเส้นเลือด บำรุงตับ ( อ้างอิงที่ 1-4 )
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด ตัวหนึ่งของโลก ยังคุณสมบัติเฉพาะตัว ช่วยออกฤทธิ์ปกป้องและลดความเสื่อมสภาพผิว ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวจากภายในและป้องกันการทำลายผิวจากอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ยังมีผลดีต่อโรคหัวใจขาดเลือด สารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังมีงานวิจัย ว่ามีผลดี ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิด ( อ้างอิงที่ 5, 6 )
มิกซ์เบอร์รี่ คือ เบอร์รี่รวมหลาย ๆ ชนิด เช่น Bilberry, Strawberry, Raspberry โดยเฉพาะ Bilberry มีสารในกลุ่ม แอนโธซัยยานิน ( anthocyanins ) คล้ายกับสารสกัดองุ่นเช่นกัน คือมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ มีงานวิจัยว่าสารจากเบอร์รี่ ช่วยบำรุงการทำงานของเซลล์สมอง และมีฤทธิ์ต้านการเจริญผิดปกติของเส้นเลือดฝอย ( anti angiogenic ) ซึ่งมีผลดีต่อการลดความเสี่ยงของการเกิดเส้นเลือดขอด และลดการเจริญของมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจำนวนหนึ่งที่บอกว่าอาจมีผลบำรุงจอตา อีกด้วย ( อ้างอิงที่ 7, 8 )
โคเอนไซม์ คิวเทน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีชื่อเสียงและมีงานวิจัย ตลอดจนมีการทำเป็นอาหารเสริมทั่วโลก CoQ10 ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดเส้นเลือดตีบตัน (Atherosclerotic) ด้วยกลไกการยับยั้งออกซิเดชั่นของไขมันในเลือด ชนิดแอลดีแอล ( ส่วนมากเป็น โคเลสเตอรอล ) นอกจากนี้ยังถือเป็นสารต้านอนุมูลอิสสระที่มีประสิทธิภาพที่ช่วยชะลอการ เสื่อมของเซลล์ ชะลอการแก่ก่อนวัย ( Anti-aging ) และยังมีประโยชน์ในผู้ป่วยโรคหัวใจและเบาหวานอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 9, 10 )
วิตามินอี เป็นสาร Antioxidant ป้องกันการแตกสลายของเยื่อหุ้มเซลล์ทำให้เม็ดเลือดแดงไม่แตกง่าย และจำเป็นต่อการเจริญและพัฒนาต่อเซลล์ประสาท ( อ้างอิงที่ 11 ) วิตามินอี ยังทำให้ผิวพรรณ ชุ่มชื้น นุ่มนวล
โปรตีนสกัดจากถั่วเหลือง เป็นแหล่งของ คอลลาเจน และอีลาสติน ในผิวหนัง ให้ผิวหนัง มีความตึงตัวกระชับ นอกจานี้ถั่วเหลืองยังมีสาร ' เจนิสติน' ซึ่งมีคุณสมบัติ เป็นฮอร์โมนจากพืช บำรุงผิวพรรณ และยัง มีประโยชน์ในสตรีหมดประจำเดือน ยังมีรายงานว่ามีประโยชน์ในโรคหัวใจ โรคกระดูกบาง ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งหลายชนิด ( อ้างอิงที่ 12-15 )
แครอท ในแครอทมีสารสำคัญคือเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ antioxidant เบต้าแคโรทีนจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามิน เอ ซึ่งจะ ช่วยในการป้องกันโรคตาฟางและยังช่วยบำรุงผิวหนังอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 11 )
ใยอาหาร ช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ลดการสะสมของเสีย / สารเป็นพิษในร่างกาย ( อ้างอิงที่ 11 )
เอกสารอ้างอิง :
1. Studies on the antioxidant activity of pomegranate ( Punica granatum ) peel and seed extracts using in vitro models. J Agric Food Chem 2002 Jan2;50(1)81-6
2. Chemopreventive and adjuvant therapeutic potential of pomegranate ( Punica granatum ) for human breast cancer. Breast cancer Res Treat 2002 Feb;71(3)203-17
3. Studies on the antioxidant activity of pomegranate ( Punica granatum ) peel and seed extracts using in vitro models. J Agric Food Chem 2002 Aug14;50(17)4791-5
4. Pomegranate juice consumption reduces oxidative stress, atherogenic modifications to LDL, and platelet aggregation : studies in humans and in atherosclerotic apolipoprotein E-deficient mice. Am J Clin Nutr 2000 May;71(5):1062-76
5. A polyphenolic fraction from grape seeds causes irreversible growth inhibition of breast carcinoma MDA-MB468 cells by inhibiting mitogen-activated protein kinases activation and inducing G1 arrest and differentiation. Clin Cancer Res 2000 Jul;6(7):2921-30 .
6. Anticarcinogenic effect of a polyphenolic fraction isolated from grape seeds in human prostate carcinoma DU145 cells: modulation of mitogenic signaling and cell-cycle regulators and induction of G1 arrest and apoptosis. Mol Carcinog 2000 Jul;28(3):129-38 .
7. Anthocyanosides of Vaccinium myrtillus (bilberry) for night vision--a systematic review of placebo-controlled trials. Surv Ophthalmol 2004 Jan-Feb;49(1):38-50 .
8. Anti-angiogenic, antioxidant, and anti-carcinogenic properties of a novel anthocyanin-rich berry extract formula. Biochemistry (Mosc) 2004 Jan;69(1):75-80 .
9.Effect of coenzyme Q10 on risk of atherosclerosis in patients with recent myocardial infarction. Mol Cell Biochem 2003 Apr;246(1-2):75-82 .
10. Coenzyme Q(10) improves endothelial dysfunction of the brachial artery in Type II diabetes mellitus. Diabetologia 2002 Mar;45(3):420-6 .
11. เครือข่ายวิชาการผลิตภัณฑ์สุขภาพ อ.ย. www.fda.moph.go.th
12. The anticarcinogenic potential of soybean lectin and lunasin. Nutr Rev 2003 Jul;61(7):239-46 .
13. Soy for the treatment of perimenopausal symptoms--a systematic review. Maturitas 2004 Jan 20;47(1):1-9
14. Soyfoods, soybean isoflavones, and bone health: a brief overview. J Ren Nutr 2000 Apr;10(2):63-8 .
15. Emerging evidence on the role of soy in reducing prostate cancer risk. Nutr Rev 2003 Apr;61(4):117-31
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับชาเขียว
ชาเขียวมีผลต่อการยับยั้งการเกิดมะเร็งได้หลายชนิดทั้งในคนและสัตว์ การวิจัยทางระบาดวิทยาพบว่า ในกลุ่มผู้ที่ดื่มชาเขียวเป็นประจำจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมาก กระเพาะอาหาร และมะเร็งผิวหนังลดลง ทั้งนี้เพราะ สารสกัดประเภทโพลีฟีลนอลในชาเขียวมีผลยับยั้งมะเร็งจำนวนมาก ด้วยกลไกที่หลากหลายโดยเฉพาะสารสำคัญตัวหนึ่งในชาเขียวคือ Epigallocatechin-3-Gallate (EGCG) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูง และยังมีผลยับยั้งเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากของคนอย่างชัดเจน ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าการรับประทานชาเขียวมีผลยับยั้งการก่อมะเร็งได้หลายชนิด
- ชะเอมสกัด ช่วยเพิ่มความสดชื่น ช่วยทำให้ชุ่มคอ ทำให้ไม่ระคายเคืองคอและเกิดอาการไอ แก้กระหาย
- กระเจี๊ยบ ช่วยในเรื่องขับปัสสาวะ
- วิตามิน ซี หรือ แอสคอร์บิคแอซิด เป็น Antioxidant เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงช่วยป้องกันโรคลักปิดลักเปิด
เอกสารอ้างอิง :
1. Efficacy of a green tea extract rich in catechin polyphenols and caffeine in increasing 24-h energy expenditure and fat oxidation in humans. Am J Clin Nutr 1999;70(6):1040
2. Recent findings of green tea extract AR25 (Exolise) and its activity for the treatment of obesity Phytomedicine 2002 Jan;9(1):3-8 2003;9(1):3-8
3. Antioxidant effects of tea : evidence from human clinical trials. J Nutr 2003 Oct;133(10):3285S-3292S
4. Molecular targets for green tea in prostate cancer preventation. Nutr 2003 Jul;133(7 Suppl):2417S-2424S
5. Cancer therapy and preventation by green tea : role of ornithine decarboxylase, Amino Acides 2002;22(1):1-13 2004;22(1):1-13
6. Polential molecular targets of tea polyphenols in human tumor cells : significance in cancer prevention. In Vivo 2002 Nov-Dec;16(6):397-403
7. Inhibition of carcinogenesis by tea. Annu Rev Pharmacol Toxicol 2002;42:25-54
เรื่องน่ารู้ของโอลิโกฟรุคโตส ( Oligofructose )
ระบบทางเดินอาหารของร่างกาย จะเริ่มต้นตั้งแต่ในช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และสำไส้ใหญ่ ระบบทางเดินอาหารของร่างกาย จะเริ่มต้นตั้งแต่ในช่องปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และสำไส้ใหญ่ อาหารมักจะเริ่มถูกย่อยและมีการดูดซึมสารอาหารที่สำคัญมากที่สุดที่กระเพาะ อาหารและลำไส้เล็ก ส่วนลำไส้ใหญ่ เป็นที่ทำลาย กากอาหาร ที่ไม่ดูดซึมแล้ว ในลำไส้ใหญ่จะมี จุลินทรีย์อยู่เป็นจำนวนมาก คอยทำหน้าที่ย่อยสลายกากอาหาร และเปลี่ยนเป็นอุจจาระ จุลินทรีย์เหล่านี้ มีด้วยกัน นับล้านตัว โดยมีทั้งจุลินทรีย์ที่มีผลดีต่อสุขภาพ จะขอเรียกว่า จุลินทรีย์สุขภาพในลำไส้ใหญ่ ซึ่งมีชื่อทางการแพทย์ว่า โพรไบโอติกส์ (Probiotics) ส่วนการส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพ ในลำไส้ใหญ่ ปริมาณมากขึ้นจะทำได้ ด้วยการให้อาหาร ที่เรียกว่า พรีไบโอติก ( Prebiotic ) อาหารพรีไบโอติกที่สำคัญคือ โอลิโกฟรุคโตส (Oligofructose )
จุลินทรีย์สุขภาพ หรือ โพรไบโอติกส์นี้ มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ เช่น แลคโตแบซิไล ( Lactobacilli ) , บิฟิโดแบคทีเรีย ( Bifidobacteria ) สเตรพโตคอคไค และ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรค เช่น คลอสติเดียม แบคทีรอยดีส์ และ โคลีฟอร์ม ( Clostridia, Bacteroides, Coliforms ) ตราบใดที่จำนวนจุลินทรีย์ที่สองฝ่ายมีจำนวนสมดุลกัน คือจุลินทรีย์ ที่มีผลดีต่อสุขภาพมีจำนวนมากและแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลำไส้และต้านทาน จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันที ทำให้ท้องเสียเป็นต้น แต่ในทางตรงกันข้าม การส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพ ในลำไส้ใหญ่ มีปริมาณมากขึ้น ไม่เพียงแต่ลดอาการท้องเสีย ยังพบว่ามีผลส่งเสริมต่อระบบ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น พบว่า ทำให้เกิดการสร้าง เซลล์ ภูมิต้านทานต่อมะเร็ง ( Natural Killer Cell ) และเพิ่มการสร้างสารภูมิต้านทานต่อมะเร็ง ( IL 10 , IgA ) ช่วยส่งเสริมสมดุลย์ของ เม็ดเลือดขาวที่ทำลายสารพิษ ( Endo- Toxin ) และเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีผลต่อภูมิต้านทาน ( T Helper Cell ) ที่อาจจะทำให้อาจจะลด โรคในลำไส้อีกหลายอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Colorectal Carcinoma ) และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Crohn's disease )เป็นต้น (อ้างอิงที่ 1-6) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพ ในลำไส้ใหญ่ ปริมาณมากขึ้นจะทำได้ ด้วยการให้อาหาร ที่เรียกว่า พรีไบโอติก ( Prebiotic ) ซึ่งมีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อโพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง โดยไม่ส่งเสริมเชื้อก่อโรคแต่อย่างใด ( อ้างอิงที่ 6 ) และอาหารพรีไบโอติกที่สำคัญคือ " โอลิโกฟรุคโตส "
" โอลิโกฟรุคโตส " เป็นใยอาหารจากธรรมชาติ ที่ไม่ถูกย่อยสลายและดูดซึมในลำไส้เล็ก แต่จะผ่านไปที่ลำไส้ใหญ่ และ ช่วยเสริมให้มีการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์สุขภาพ โพรไบโอติกส์ ให้เกิดภาวะสมดุลในระบบ ทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ไม่สะสมสารพิษไว้ตามผนังลำไส้ จึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่พบว่า โอลิโกฟรุคโตส สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อโพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง ยัง มีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า โอลิโกฟรุคโตส สามารถ ลดการเกิดท้องเสียซ้ำ ในผู้ป่วยที่ท้องเสียมาแล้วจากการติดเชื้อโรคก่อโรค คลอสติเดียมอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 7 )
ไม่เพียงแต่คุณประโยชน์ทางด้านภูมิคุ้มกันต่อโรคลำไส้หลายชนิดแล้ว ก็ยังมีงานวิจัยที่พบว่า โอลิโกฟลุคโตส ช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม ทำให้เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ( Body Mineral Density ) ได้ ( อ้างอิงที่ 8 )
โดยสรุป โอลิโกฟรุกโตส มีคุณสมบัติเป็น Prebiotic และมีคุณประโยชน์ดังนี้คือ
: ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
: ช่วยควบคุม/กำจัดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรคในร่างกาย
: ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีกลไกช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่
: ช่วยลดสารพิษหลายชนิดที่อาจสะสมตามผนังลำไส้
: ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
: ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย
: ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย
เอกสารอ้างอิง :
1. Inulin, oligofructose and immunomodulation. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S49-55
2. The role of gut-associated lymphoid tissues and mucosal defence. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S41-8
3. Dietary fibres as "prebiotics": implications for colorectal cancer. Mol Nutr Food Res. 2005 Jun;49(6):609-19.
4. Inulin/oligofructose and anticancer therapy. Br J Nutr. 2002 May;87 Suppl 2:S283-6.
5. Functional food concept and its application to prebiotics. Dig Liver Dis. 2002 Sep;34 Suppl 2:S105-10.
6. Prebiotic carbohydrates modify the mucosa associated microflora of the human large bowel. Gut. 2004 Nov;53(11):1610-6.
7. Effect of the prebiotic oligofructose on relapse of Clostridium difficile-associated diarrhea: a randomized, controlled study. Clin Gastroenterol Hepatol. 2005 May;3(5):442-8
8. Inulin, oligofructose and bone health: experimental approaches and mechanisms. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S99-103.
จุลินทรีย์สุขภาพ หรือ โพรไบโอติกส์นี้ มีอยู่มากมายหลายสายพันธุ์ เช่น แลคโตแบซิไล ( Lactobacilli ) , บิฟิโดแบคทีเรีย ( Bifidobacteria ) สเตรพโตคอคไค และ จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรค เช่น คลอสติเดียม แบคทีรอยดีส์ และ โคลีฟอร์ม ( Clostridia, Bacteroides, Coliforms ) ตราบใดที่จำนวนจุลินทรีย์ที่สองฝ่ายมีจำนวนสมดุลกัน คือจุลินทรีย์ ที่มีผลดีต่อสุขภาพมีจำนวนมากและแข็งแรงพอที่จะยึดผนังลำไส้และต้านทาน จุลินทรีย์ชนิดที่ก่อโรคไว้ได้ ร่างกายก็จะแข็งแรงดี แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายอ่อนแอหรือได้รับยาปฏิชีวนะ จุลินทรีย์อีกฝ่ายหนึ่งก็จะฉวยโอกาสก่อโรคทันที ทำให้ท้องเสียเป็นต้น แต่ในทางตรงกันข้าม การส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพ ในลำไส้ใหญ่ มีปริมาณมากขึ้น ไม่เพียงแต่ลดอาการท้องเสีย ยังพบว่ามีผลส่งเสริมต่อระบบ ภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น พบว่า ทำให้เกิดการสร้าง เซลล์ ภูมิต้านทานต่อมะเร็ง ( Natural Killer Cell ) และเพิ่มการสร้างสารภูมิต้านทานต่อมะเร็ง ( IL 10 , IgA ) ช่วยส่งเสริมสมดุลย์ของ เม็ดเลือดขาวที่ทำลายสารพิษ ( Endo- Toxin ) และเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่มีผลต่อภูมิต้านทาน ( T Helper Cell ) ที่อาจจะทำให้อาจจะลด โรคในลำไส้อีกหลายอย่าง เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ( Colorectal Carcinoma ) และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Crohn's disease )เป็นต้น (อ้างอิงที่ 1-6) ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า การส่งเสริมให้มีจุลินทรีย์สุขภาพ ในลำไส้ใหญ่ ปริมาณมากขึ้นจะทำได้ ด้วยการให้อาหาร ที่เรียกว่า พรีไบโอติก ( Prebiotic ) ซึ่งมีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อโพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง โดยไม่ส่งเสริมเชื้อก่อโรคแต่อย่างใด ( อ้างอิงที่ 6 ) และอาหารพรีไบโอติกที่สำคัญคือ " โอลิโกฟรุคโตส "
" โอลิโกฟรุคโตส " เป็นใยอาหารจากธรรมชาติ ที่ไม่ถูกย่อยสลายและดูดซึมในลำไส้เล็ก แต่จะผ่านไปที่ลำไส้ใหญ่ และ ช่วยเสริมให้มีการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์สุขภาพ โพรไบโอติกส์ ให้เกิดภาวะสมดุลในระบบ ทางเดินอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายดี ไม่สะสมสารพิษไว้ตามผนังลำไส้ จึงช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่พบว่า โอลิโกฟรุคโตส สามารถเพิ่มปริมาณเชื้อโพรไบโอติกส์ที่มีคุณประโยชน์ได้จริง ยัง มีงานวิจัยที่ชัดเจนว่า โอลิโกฟรุคโตส สามารถ ลดการเกิดท้องเสียซ้ำ ในผู้ป่วยที่ท้องเสียมาแล้วจากการติดเชื้อโรคก่อโรค คลอสติเดียมอีกด้วย ( อ้างอิงที่ 7 )
ไม่เพียงแต่คุณประโยชน์ทางด้านภูมิคุ้มกันต่อโรคลำไส้หลายชนิดแล้ว ก็ยังมีงานวิจัยที่พบว่า โอลิโกฟลุคโตส ช่วยเพิ่มการดูดซึมแร่ธาตุแคลเซียม ทำให้เพิ่มความหนาแน่นของมวลกระดูก ( Body Mineral Density ) ได้ ( อ้างอิงที่ 8 )
โดยสรุป โอลิโกฟรุกโตส มีคุณสมบัติเป็น Prebiotic และมีคุณประโยชน์ดังนี้คือ
: ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
: ช่วยควบคุม/กำจัดปริมาณจุลินทรีย์ก่อโรคในร่างกาย
: ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น มีกลไกช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่
: ช่วยลดสารพิษหลายชนิดที่อาจสะสมตามผนังลำไส้
: ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
: ป้องกันหรือลดความรุนแรงของโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย
: ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย
เอกสารอ้างอิง :
1. Inulin, oligofructose and immunomodulation. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S49-55
2. The role of gut-associated lymphoid tissues and mucosal defence. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S41-8
3. Dietary fibres as "prebiotics": implications for colorectal cancer. Mol Nutr Food Res. 2005 Jun;49(6):609-19.
4. Inulin/oligofructose and anticancer therapy. Br J Nutr. 2002 May;87 Suppl 2:S283-6.
5. Functional food concept and its application to prebiotics. Dig Liver Dis. 2002 Sep;34 Suppl 2:S105-10.
6. Prebiotic carbohydrates modify the mucosa associated microflora of the human large bowel. Gut. 2004 Nov;53(11):1610-6.
7. Effect of the prebiotic oligofructose on relapse of Clostridium difficile-associated diarrhea: a randomized, controlled study. Clin Gastroenterol Hepatol. 2005 May;3(5):442-8
8. Inulin, oligofructose and bone health: experimental approaches and mechanisms. Br J Nutr. 2005 Apr;93 Suppl 1:S99-103.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)