เถาวัลย์เปรียง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens (Roxb.) Benth. เป็นไม้เถา องค์ประกอบทางเคมีของลำต้นเถาวัลย์เปรียงเป็นกลุ่มไอโซฟลาโวน (isoflavone) ไอโซฟลาโวน กลัยโคซัยด์ (isoflavone glycoside) และ พรีนิลเลดเตดไอโซฟลาโวน (prenylated isoflavone) (อ้างอิงที่ 1)
เถาวัลย์เปรียง เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกบรรจุอยู่ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสรรพคุณเป็นยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย (อ้างอิงที่ 2) มีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และความปลอดภัยในการใช้เถาวัลย์เปรียง สามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ (อ้างอิงที่ 1, 4)
ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง (อ้างอิงที่ 1)
มีส่วนช่วยควบคุมและ/หรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (อ้างอิงที่ 1)
มีความปลอดภัยในการใช้ (อ้างอิงที่ 1, 5)
เถาวัลย์เปรียงกับโรคข้อเข่าเสื่อม
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่พบบ่อยมากในผู้สูงอายุ ในประเทศไทยพบผู้สูงอายุมากกว่า 6 ล้านคน เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดยพบในผู้ป่วยวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการปวดเข่า และไม่สามารถทำงานหรือดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
หนึ่งในวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง และผู้ป่วยก็มักจะได้รับยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งได้แก่ ยาลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDS แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญคือระคายเคือง และทำให้เกิดแผลในระบบทางเดินอาหารและยามีราคาแพง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้ดำเนินการศึกษาวิจัยสมุนไพร “เถาวัลย์เปรียง” ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีมาก โดยพบว่าสารสกัดจากลำต้นของเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบที่เป็นยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรคปวดหลังส่วนล่างได้ ขณะนี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียง เมื่อทำการทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในสัตว์ ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ยังได้ทดสอบสรรพคุณในอาสาสมัครโดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช ในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาต้านอักเสบ Naproxen และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงก็พบว่าสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี และมีแนวโน้มว่าปลอดภัยกว่ายา Naproxen เพราะพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา Naproxen มีอาการหิวบ่อย แสบท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าว (อ้างอิงที่ 3)
เอกสารอ้างอิง :
เถาวัลย์เปรียง. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/Plant/MPRI2008/interesting1.shtm
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 67 ง วันที่ 24 สิงหาคม 2542
เถาวัลย์เปรียงพิชิตข้อเข่าเสื่อม. สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.thaihealth.or.th/node/4135
Anti-inflammatory isoflavonoids from the stems of Derris scandens. Planta Med. 2004 Jun;70(6):496-501.
Chronic toxicity study of crude extract of Derris scandens Benth. Songklanakarin-Journal-of-Science-and-Technology (Thailand). Warasan Songkhlanakharin. (Otc-Dec 1999). v. 21(4) p. 426-433.
เถาวัลย์เปรียง เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกบรรจุอยู่ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสรรพคุณเป็นยากษัยเส้น หรือยาแก้ปวดเมื่อย (อ้างอิงที่ 2) มีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา และความปลอดภัยในการใช้เถาวัลย์เปรียง สามารถกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
มีฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ (อ้างอิงที่ 1, 4)
ช่วยลดอาการปวดในผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลังส่วนล่าง (อ้างอิงที่ 1)
มีส่วนช่วยควบคุมและ/หรือเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (อ้างอิงที่ 1)
มีความปลอดภัยในการใช้ (อ้างอิงที่ 1, 5)
เถาวัลย์เปรียงกับโรคข้อเข่าเสื่อม
“โรคข้อเข่าเสื่อม” เป็นโรคที่พบบ่อยมากในผู้สูงอายุ ในประเทศไทยพบผู้สูงอายุมากกว่า 6 ล้านคน เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม โดยพบในผู้ป่วยวัย 50 ปีขึ้นไป มากถึงร้อยละ 40 และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมจะมีอาการปวดเข่า และไม่สามารถทำงานหรือดำรงชีวิตได้อย่างปกติ
หนึ่งในวิธีการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อม คือ การบริหารกล้ามเนื้อต้นขาให้แข็งแรง และผู้ป่วยก็มักจะได้รับยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งได้แก่ ยาลดการอักเสบในกลุ่ม NSAIDS แต่มีฤทธิ์ข้างเคียงที่สำคัญคือระคายเคือง และทำให้เกิดแผลในระบบทางเดินอาหารและยามีราคาแพง
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสถาบันวิจัยสมุนไพรจึงได้ดำเนินการศึกษาวิจัยสมุนไพร “เถาวัลย์เปรียง” ใช้ในการรักษาผู้ป่วยทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีมาก โดยพบว่าสารสกัดจากลำต้นของเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบที่เป็นยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรคปวดหลังส่วนล่างได้ ขณะนี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะเดียวกัน ทางสถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดำเนินการศึกษาความปลอดภัยของสารสกัดเถาวัลย์เปรียง เมื่อทำการทดลองความเป็นพิษเฉียบพลันและพิษเรื้อรังของสารสกัดเถาวัลย์เปรียงในสัตว์ ทดลองพบว่ามีความปลอดภัยสูง นอกจากนี้ยังได้ทดสอบสรรพคุณในอาสาสมัครโดยร่วมมือกับโรงพยาบาลศิริราช ในการรักษาผู้ป่วยข้อเข่าเสื่อมโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับยาต้านอักเสบ Naproxen และกลุ่มที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงก็พบว่าสารสกัดจากเถาวัลย์เปรียงมีประสิทธิผลในการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมได้ดี และมีแนวโน้มว่าปลอดภัยกว่ายา Naproxen เพราะพบว่าผู้ป่วยที่ได้รับยา Naproxen มีอาการหิวบ่อย แสบท้อง จุกเสียด แน่นท้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ได้รับสารสกัดเถาวัลย์เปรียงไม่มีอาการข้างเคียงดังกล่าว (อ้างอิงที่ 3)
เอกสารอ้างอิง :
เถาวัลย์เปรียง. สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.dmsc.moph.go.th/webroot/Plant/MPRI2008/interesting1.shtm
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณ คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 67 ง วันที่ 24 สิงหาคม 2542
เถาวัลย์เปรียงพิชิตข้อเข่าเสื่อม. สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมคุณภาพ. ค้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2552, จาก http://www.thaihealth.or.th/node/4135
Anti-inflammatory isoflavonoids from the stems of Derris scandens. Planta Med. 2004 Jun;70(6):496-501.
Chronic toxicity study of crude extract of Derris scandens Benth. Songklanakarin-Journal-of-Science-and-Technology (Thailand). Warasan Songkhlanakharin. (Otc-Dec 1999). v. 21(4) p. 426-433.